กดแชร์เอาไว้อ่านทีหลัง หรือแชร์ให้เพื่อน คลิกด้านล่างเลยจ้า
CAMPHUB idol

[แคมป์ไอดอล EP.18] “พี่ฟรัง นรีกุล” ว่าที่คุณหมอสาวไฟแรง.. กับการแสดงที่ชวนติดตาม !!

ฮาโหลทักทายน้องๆ ชาวเด็กล่าค่ายทุกคน ก่อนจะขึ้นปีจอ รับปีใหม่ 2561 วันนี้ พี่ฟิวส์ ขอพาน้องๆ ไปเจอะเจอกับ “พี่ฟรัง” พี่สาวคนเก่ง ไอดอลของน้องๆ จากผลงานการแสดงสุดปังอย่าง “ออย” จากฮอร์โมนซีซั่น 2 และ 3 ที่ทำเอาคนดูทั้งประเทศอินกับออยกันไปเลย รวมทั้งยังเป็นนิสิตแพทย์จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย เรียกได้ว่าพี่ฟรัง ก็คงเป็นไอดอลของน้องๆ ที่แท้ทรู เพราะนอกจากจะน่ารักซะขนาดนี้ การแสดง กับการเรียนก็ยังไม่ธรรมดาอีกต่างหาก

อ๊ะๆ เท่านั้นยังไม่พอ แต่ตอนนี้พี่ฟรังก็กำลังมีผลงานออนแอร์ทางช่อง GMM25 อยู่ด้วย กับ “Shoot! I Love You ปิ้ว! ยิงปิ๊งเธอ” ซีรีส์กีฬาเรื่องสุดท้าย จาก 4 เรื่องใน “Project S The Series” กับบทบาทของ “โบ” สาวน้อยสุดโก๊ะ ที่กำลังอินเลิฟกับกีฬายิงธนูและอาชวิน

ถ้างั้นวันนี้ พี่ฟิวส์ขอพาน้องๆ ทุกคนไปทำความรู้จักกับพี่ฟรังกันให้มากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าอินไซด์สุดๆ ทั้งเรื่องการแสดงตั้งแต่ผลงานชิ้นแรกในวงการบันเทิง จนไปถึงชีวิตในรั้วโรงเรียนแพทย์แห่งนี้ ถึง EP. นี้ จะยาวเป็นพิเศษ แต่ถ้าน้องๆ ติดตามบทความนี้จนจบ นอกจากจะได้รู้จักกับพี่ฟรังกันมากยิ่งขึ้นแล้ว พี่ฟิวส์เชื่อว่าน้องๆ น่าจะได้ข้อคิดดีๆ จากพี่ฟรังกันอีกด้วย งั้นอย่าช้า.. เลื่อนไปพบกับพี่ฟรังกันเลย !!

พี่ฟิวส์ : สวัสดีจ้า.. ฟรังแนะนำตัวกับน้องๆ ชาวเด็กล่าค่ายกันหน่อย
พี่ฟรัง : สวัสดีจ้า ทักทายน้องๆ ชาวแคมป์ฮับทุกคน พี่ชื่อฟรัง นรีกุล เกตุประภากร ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และก็อยู่นาดาวด้วย

พี่ฟิวส์ : ได้ยินชื่อว่าฟรัง น้องๆ หลายๆ คนคงนึกถึงสกุลเงินฟรังก์ จริงๆ แล้ว ชื่อของฟรังมีที่มาที่ไปยังไงเอ่ย
พี่ฟรัง : ที่มาของชื่อเล่นว่า “ฟรัง” มาจาก สกุลเงินฟรังก์สวิส เพราะพ่อกับแม่ไปฮันนีมูนกันที่สวิตเซอร์แลนด์ และอยากให้ร่ำรวยๆ เลยตั้งชื่อให้ว่าฟรัง และน้องๆ ของเราก็มีชื่อเล่นเป็นสกุลเงินเหมือนกัน คือ ปอนด์ และยูโร

พี่ฟิวส์ : ก้าวแรกในวงการบันเทิงของฟรัง กับรายการถ้าคุณแน่? อย่าแพ้ เด็ก (ประถม)! ไปมายังไง ฟรังถึงได้ไปอยู่ในรายการนี้
พี่ฟรัง : ตอนนั้นยังอยู่ ป.6 กำลังนั่งกินข้าวกับพ่อแม่ ก็ได้ดูรายการนี้ไปด้วย แล้วใต้จอ ก็มีตัววิ่งว่าเปิดรับสมัครน้องๆ เข้ามาในรายการนี้อยู่ ก็เลยชวนเพื่อนอีกคนนึง ไปสมัครด้วยกัน ซึ่งเรากับเพื่อนก็ได้ไปอยู่ในรายการนี้ด้วยกันเลย รายการนี้ ก็ถือว่าเป็นผลงานในวงการบันเทิงชิ้นแรกของฟรังเองเลย

ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pantip.com

พี่ฟิวส์ : ย้อนกลับไปวันที่ได้เข้ามาใน Hormones The Next Gen ฟรังได้รับการคัดเลือกผ่านช่องทาง IG พอพี่ ๆ ทีมงานติดต่อเรามา ตอนนั้นฟรังรู้สึกยังไงบ้าง
พี่ฟรัง : ตอนนั้น มีพี่ทีมงานติดต่อมาหาเรา บอกว่าเราได้รับคัดเลือกนะ ก็ให้เข้าไปแคสต์ที่นาดาว ตอนแรกก็ตกใจ ว่าใครส่งรูปเราเข้าไป เราก็เลยเข้าไปดู ก็เห็นว่าเราติดจริงๆ ด้วย และด้วยความที่ก่อนหน้านี้ เราก็ติดตามฮอร์โมนซีซั่นแรกมาก่อนอยู่แล้ว ก็เลยลองปรึกษากับที่บ้าน สุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่าลองไปแคสต์ดูแล้วกัน ลองดูสักครั้งนึง


ครั้งแรก.. ที่พี่ฟรังได้มาเยือนบ้านนาดาว

ขอขอบคุณรูปภาพจากแฟนเพจ HormonesTheSeries

พี่ฟิวส์ : แล้วพอทีมงานยื่นโอกาสมา ทำไมเราถึงเลือกที่จะรับโอกาสตรงนี้
พี่ฟรัง : เราคิดว่าเป็นโอกาสที่ดี ในเมื่อพี่ๆ เขาให้โอกาสกับเรา ก็เป็นประสบการณ์ที่ใหม่สำหรับเรา ลองเข้าไปทำดู ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนนั้นคิดแค่ว่า “ก็อยากลอง” คือโดยส่วนตัวเราชอบทำนู่นทำนี่อยู่แล้ว ก็เลยอยากลองทำสิ่งนี้ด้วยเหมือนกัน

โดยส่วนตัวเราชอบทำนู่นทำนี่อยู่แล้ว ก็เลยอยากลองทำสิ่งนี้ด้วยเหมือนกัน

พี่ฟิวส์ : ครอบครัวใหญ่ที่ชื่อว่า “นาดาว” สำหรับฟรัง เป็นยังไงบ้าง
พี่ฟรัง : ถึงจะใหญ่ แต่ก็อบอุ่นมากๆ คือนาดาวเหมือนเป็นครอบครัว ทุกคนเสมือนว่าเป็นพี่เป็นน้องกัน มีอะไรก็คุยกัน แล้วในนาดาวก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้พวกเราทำร่วมกัน ทั้งเวิร์กช็อป ทั้งปาร์ตี้ ก็คือจะได้เจอกันบ่อยๆ มีอะไรให้ทำร่วมกันบ่อยมากๆ ก็รู้สึกโชคดีนะ ที่ได้มาอยู่ที่นาดาว เป็นเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งในชีวิตของเราเลย

พี่ฟิวส์ : พอมาถึง “Shoot! I Love You ปิ้ว! ยิงปิ๊งเธอ” รู้สึกยังไงที่พี่กุ๊กได้เลือกฟรังมาร่วมในซีรีส์เรื่องนี้
พี่ฟรัง : คือผู้กำกับของ Project S ทั้งสี่เรื่อง จะเลือกนักแสดงที่เขาสนใจและเหมาะสมกับคาแรกเตอร์ของตัวละครนั้นๆ มาอยู่ในโปรเจกต์แต่ละเรื่อง ซึ่งก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากๆ ที่แต่ละคนเลือกนักแสดงไม่ซ้ำกันเลย และเราก็รู้สึกดีใจที่พี่กุ๊กเชื่อมั่นในตัวเรา เราก็รู้สึกว่า เราอยากทำผลงานให้ออกมาดี ให้สมกับที่พี่กุ๊กได้ไว้ใจในตัวเรา ที่ให้เราได้มารับบทนี้

พี่ฟิวส์ : จากคนเงียบๆ ในฮอร์โมน มาเป็นคนแรงๆ ในเลิฟซอง พอมาแสดงเรื่องนี้ ในบทของผู้หญิงโก๊ะๆ ที่ไม่เหมือนกับเรื่องก่อนๆ เลย เป็นยังไงบ้าง
พี่ฟรัง : เราดีใจที่แต่ละเรื่องที่เราได้เล่น บทบาทที่ได้รับค่อนข้างแตกต่างกัน มันก็เลยทำให้เราได้ลองเป็นอะไรหลายๆ อย่าง อย่างตอนที่ได้รับบทเป็น “โบ” ในเรื่องนี้ เรารู้สึกว่าอยากเล่นนะ เพราะรู้สึกว่าตัวละครนี้มีความน่ารักในแบบของโบ และถ้าเล่นออกมาแล้วทำให้ตัวละครนี้มีเสน่ห์ ก็จะออกมาดูดีมากๆ เราก็แอบคิดนะ ว่าเราจะเล่นได้รึเปล่า แต่ว่าเราก็พยายามในการเล่นเป็นตัวละครนี้ ก็รู้สึกสนุกดี กับการที่ได้มารับบท “โบ” ในซีรีส์เรื่องนี้มากๆ เลย

บทบาทที่ได้รับค่อนข้างแตกต่างกัน มันก็เลยทำให้เราได้ลองเป็นอะไรหลายๆ อย่าง

พี่ฟิวส์ : ในมุมมองของฟรัง คิดว่าโบในเรื่องเป็นคนยังไง
พี่ฟรัง : โบก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีนิสัยเฟรนด์ลี่ เข้าถึงคนง่าย เป็นคนที่คิดอะไรก็จะแสดงออกมา เป็นคนที่อยากลองนู่นลองนี่ แต่ก็อาจจะยอมแพ้ง่ายๆ สำหรับบางอย่าง ที่คิดว่าไม่ชอบ แต่สำหรับกีฬายิงธนู.. ก็รอติดตามกันต่อไปนะ

พี่ฟิวส์ : ที่เรื่องนี้ต้องตัดผมสั้น รู้สึกโอเครึเปล่า กับผมที่เราไว้ยาวมานานแสนนาน ต้องถูกตัดออกไป
พี่ฟรัง : จริงๆ พี่กุ๊กก็มาถามก่อนนะ ว่าเราเคยตัดผมสั้นมาก่อนรึเปล่า เราก็ตอบว่าล่าสุดเนี่ย ตอนอนุบาล 3 เลย ก็คือพอตอนที่เราโตมา เราก็ไม่ได้ตัดผมสั้นเลย แต่ว่าลองดูก็ได้ ใจจริงก็อยากลองเหมือนกัน ที่ผ่านมาก็เคยคิดเหมือนกันนะ แต่ว่าไม่มีโอกาสตัดสักที จะให้อยู่ดีๆ ไปตัด เราก็คงทำใจไม่ได้ แต่อันนี้ตัดไปเพื่อเล่นซีรีส์ เราก็เลยโอเค คิดซะว่าเป็นอีกสไตล์นึง ที่เรายังไม่เคยลอง

พี่ฟิวส์ : แล้วผมสั้นเกี่ยวข้องยังไงกับคาแรกเตอร์ของโบ
พี่ฟรัง : ด้วยความที่โบเป็นคนโก๊ะๆ เป็นคนที่ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ไม่ค่อยสระผม อย่างที่เห็นในเรื่อง ผมก็จะมันมาก ก็จากคาแรกเตอร์ตรงนี้ ก็เลยออกแบบให้โบเป็นคนผมสั้น ผมก็จะฟูหน่อยๆ จะได้ไม่ใช้เวลากับการดูแลตัวเองมากนัก รวมไปถึงผมด้วย

พี่ฟิวส์ : อย่างงี้ ฟรังก็ต้องไม่สระผมเข้าฉากจริงๆ ด้วยรึเปล่า
พี่ฟรัง : ใช่เลย คือก่อนหน้านั้น ตอนเวิร์กช็อป เราก็ไม่ได้สระผมไป พี่กุ๊กเห็น พี่กุ๊กก็เลยบอกว่าชอบ ชอบผมแบบนี้ วันแรกที่เข้าฉาก เราก็เลยไม่สระผมไปซะเลย แต่พี่กุ๊กก็บอกว่านี่มันไปนิดนึงนะ วันหลังเราก็เลยสระไปบ้าง

พี่ฟิวส์ : ได้ร่วมงานกับนักแสดงคนอื่นๆ ทั้งนนกุล เจเจ และต้าเหนิง เป็นยังไงบ้าง
พี่ฟรัง : ก็ด้วยความที่เราๆ ก็เคยรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว อย่างต้าเหนิงก็สนิทกันมาก่อน ตั้งแต่ตอน Hormones The Next Gen นนกุลก็มีเฉี่ยวๆ กันบ้างในฮอร์โมนซีซั่น 3 แต่อย่างเจเจ ตอนแรกคือฟรังมีความเกร็งเจเจมาก เพราะไม่เคยร่วมงานกันมาก่อนเลย จากที่เจเจเล่นเป็นไทเกอร์ ใน HateLove มา กับบทที่ดูเป็นไฮโซ ดูแพง ต้องมารับบทเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ยังเด็กๆ แล้วเราจะเข้าถึงเจเจได้มั้ย แต่พอทุกคนได้มาร่วมกันเวิร์กช็อป ก็เลยทำให้พวกเราสนิทกัน ตอนเล่น ทุกคนก็เล่นออกมาได้น่ารักมากๆ ทำงานออกมาได้อย่างราบรื่นมากๆ เลย

พี่ฟิวส์ : แล้วการได้ร่วมงานกับผู้กำกับอย่างพี่กุ๊ก ฟรังรู้สึกยังไงบ้าง
พี่ฟรัง : พี่กุ๊กน่ารักมากๆ เหมือนเวลาทำงานกับพี่กุ๊ก เราก็ไม่รู้สึกเกร็งอะไร พี่กุ๊กใจดี เป็นคนใจเย็นแบบไม่ค่อยว่าอะไร ทำให้ตอนทำงาน เราก็อยากที่จะแชร์อะไรกับพี่กุ๊กอยู่ตลอด “อันนี้ดีมั้ยพี่กุ๊ก” “อันนี้หนูว่าเวิร์กนะ” “หนูว่าอันนี้ดีกว่า” แชร์ด้วยกันตลอดเพื่อให้มันออกมาเป็น “โบ” ให้ดีที่สุด

พี่กุ๊กใจดี เป็นคนใจเย็นแบบไม่ค่อยว่าอะไร ทำให้ตอนทำงาน เราก็อยากที่จะแชร์อะไรกับพี่กุ๊กอยู่ตลอด เพื่อให้มันออกมาเป็น “โบ” ให้ดีที่สุด

พี่ฟิวส์ : ได้ข่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ได้ไปถ่ายทำถึงที่ซากะเลย บรรยากาศที่ซากะเป็นยังไงบ้าง เล่าให้น้องๆ ฟังกันหน่อย
พี่ฟรัง : ที่ซากะสวยมากๆ เลย ตอนไปเป็นช่วงหน้าร้อน ซึ่งอากาศก็ไม่ได้ต่างจากเมืองไทยมากเท่าไหร่ บรรยากาศดี ดูสงบ บ้านเมืองเป็นแบบชนบทญี่ปุ่น ส่วนบรรยากาศการถ่ายทำ ตอนแรกที่ได้รู้ว่าจะได้ไปถ่ายทำที่ซากะ เราก็ “อุ๊ย.. ดีใจมากกก !!” ดีใจแบบ เฮ้ย ต้องได้เที่ยวแน่ๆ แต่สรุปก็คือ ช่วงที่ถ่ายทำที่ซากะ คือตรงกับช่วงสอบที่คณะพอดี ก็เลยต้องไปๆ กลับๆ ทั้งถ่ายงานด้วย ทั้งต้องกลับมาสอบ ก็ไม่ได้สบายอะไรอย่างที่คิดเอาไว้ ส่วนในการทำงาน ก็เหนื่อยนะ แต่ก็สนุกมากๆ เลย คุ้มค่ามากๆ ที่ได้ไป รู้สึกภาพที่ออกมา มันสวยมากๆ เลย ก็อย่าลืมมาติดตามกันในซีรีส์น้า..

พี่ฟิวส์ : มาเล่นซีรีส์กีฬาแบบนี้ แล้วปกติ ฟรังเป็นคนเล่นกีฬาอยู่แล้วรึเปล่า
พี่ฟรัง : จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าเล่นกีฬาจริงจังนะ แต่ว่าเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายเหมือนกัน อย่างพ่อของเราก็จะชอบวิ่ง วิ่งตามสวนสาธารณะ ก็ทำให้เราซึมซับมาตั้งแต่ยังเด็กๆ ก็มีไปวิ่งกับพ่อบ้าง นอกจากวิ่ง ก็มีเข้าฟิตเนสด้วย แต่ถ้าจะพูดถึงกีฬา ก็ต้องย้อนกลับไปตอนเด็ก กีฬาที่ทำได้ดีที่สุดคือว่ายน้ำ เคยไปแข่งมาด้วย

พี่ฟิวส์ : หลังจากถ่ายซีรีส์เรื่องนี้จบแล้ว ฟรังมีมุมมองยังไงต่อกีฬายิงธนู
พี่ฟรัง : กีฬายิงธนูเหมือนว่าจะเป็นกีฬาที่เล่นง่าย แต่ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว ก็เล่นนยากนะ คือถ้าเราดูอะ ก็จะเหมือนแค่ง้างสายธนู แล้วก็ปล่อย ก็มีอยู่แค่ท่าเดียว แต่ถ้าได้มาสัมผัสจริงๆ แล้ว การยิงธนูเป็นกีฬาที่ละเอียดมากๆ คือทุกๆ อย่าง ย่อมมีผลกระทบกับการยิงธนูทั้งนั้นเลย ทั้งการจับ ความตึงของสาย ของพร้อมของอุปกรณ์ต่างๆ ท่าการยิงของเราคือมันต้องเป๊ะมากๆ ถึงจะยิงได้เท่าที่เดิม และก็รวมถึงสภาพจิตใจของเรา ความพร้อมของเราในวันนั้นด้วย ถ้าวันนั้นจิตใจของเราไม่พร้อม ก็ยิงไม่ได้นะ และก็เป็นกีฬาที่มีเสน่ห์ ทำให้เราได้ฝึกสมาธิ เป็นกีฬาที่ไม่ต้องมีคู่แข่ง แต่เป็นการแข่งกับตัวเอง สำหรับเรา ก็สนุกทุกครั้งที่ได้จับคันธนูเลย

กีฬายิงธนูเป็นกีฬาที่มีเสน่ห์ ทำให้เราได้ฝึกสมาธิ เป็นกีฬาที่ไม่ต้องมีคู่แข่ง แต่เป็นการแข่งกับตัวเอง

พี่ฟิวส์ : แล้วกว่าจะออกมาเล่นธนูแบบที่เราเห็นในซีรีส์ได้ ต้องใช้เวลาเท่าไหร่เอ่ย ในการซักซ้อมกับกีฬานี้
พี่ฟรัง : คือเราซ้อมยิงธนูตั้งแต่ก่อนที่จะถ่ายทำเรื่องนี้ จนช่วงที่มีการถ่ายทำ ก็ยังมีการซ้อมๆ กันอยู่ รวมๆ ก็เป็นเวลาปีกว่าๆ เลย ที่เราได้อยู่กับกีฬายิงธนู

พี่ฟิวส์ : การเล่นซีรีส์เรื่องนี้ ให้อะไรกับฟรัง
พี่ฟรัง : เหมือนเราได้โตไปกับมิตรภาพของกลุ่มๆ นี้ โตไปกับตัวละคร ซึ่งในซีรีส์เอง โบก็เหมือนโตขึ้นเรื่อยๆ ไปเหมือนกัน ในเรื่องของความพยายาม ไม่ต้องเก็บอะไรไว้กับตัวเองมากก็ได้ เหมือนเราก็ได้โต แล้วก็เรียนรู้ไปกับตัวละครด้วย รวมถึงการทำงานในกองถ่าย เรารู้สึกว่าทุกคนทำงานเหมือนเป็นทีม ดิ อเวนเจอร์ส อย่างที่เจเจเคยบอกว่าทุกคนก็เก่งกันในแต่ละด้านแล้วมารวมกัน ก็เลยทำให้เราก็อยากเป็นมือโปรแบบนี้มาก ไม่อยากให้การทำงานเกิดความล่าช้า รวมถึงความรับผิดชอบด้วย เพราะตัวเราเองก็ต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ถ้าเราทำตรงนี้ได้ ก็รู้สึกว่าเราก็โตขึ้นอีกขั้นนึงเหมือนกัน

เรารู้สึกว่าทุกคนทำงานเหมือนเป็นทีม ดิ อเวนเจอร์ส อย่างที่เจเจเคยบอกว่าทุกคนก็เก่งกันในแต่ละด้านแล้วมารวมกัน ก็เลยทำให้เราก็อยากเป็นมือโปรแบบนี้มาก

พี่ฟิวส์ : อะไรที่ทำให้ฟรังหลงเสน่ห์ในการเป็นนักแสดง
พี่ฟรัง : การที่เราได้รู้จักกับคนๆ นึง ได้รู้จักจริงๆ จากการที่เราต้องไปเป็นคนๆ นั้น ที่ในบทบาทชีวิตจริงของเรา คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสแบบนั้นเลย แต่พอเราได้รับโอกาสให้ไปสวมบทบาทเป็นคนๆ นั้น เราคิดว่ามันเป็นอะไรที่มีเสน่ห์มากๆ คือไม่ใช่แค่เราพูดตามบท ตามสคริปต์ แต่เราต้องไปเรียนรู้ถึงขั้นตัวละครนี้เป็นคนยังไง เบื้องลึกเบื้องหลังของชีวิตตัวละครนี้เป็นยังไงบ้าง จริงๆ จะเปรียบว่าเราได้เพื่อนมาอีกคนๆ นึงเลยก็ได้ เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเพื่อนคนนี้

ถ้าย้อนกลับไปตอนที่เราได้เป็น “ออย” ในฮอร์โมน คือคนดูหลายๆ คน ก็จะไม่ชอบออย แต่พอเราได้เป็นออย เราก็อยากให้ทุกๆ คนรักในตัวตนของออย มันทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่างของคนเรา อย่างออย ออยก็มีเหตุผลในการกระทำของออยนะ คือเราอย่ามองแค่การกระทำที่ออยทำออกมา แต่อยากให้มองลึกๆ เข้าไปถึงตัวตนของออย ว่าทำไมออยถึงทำแบบนี้

ออยก็มีเหตุผลในการกระทำของออยนะ คือเราอย่ามองแค่การกระทำที่ออยทำออกมา แต่อยากให้มองลึกๆ เข้าไปถึงตัวตนของออย ว่าทำไมออยถึงทำแบบนี้

พี่ฟิวส์ : แล้วการที่เราไปรับบทเป็นคนนู้นที คนนี้ที มีบ้างมั้ย ที่เผลอติดบุคลิกของตัวละครนั้น มาใช้ในชีวิตจริง
พี่ฟรัง : จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าเราติดบุคลิกของตัวละครนั้นมาใช้นะ แต่ในทางกลับกัน เรากลับเอามุมๆ นึงของเราที่ตรงกับตัวละคร ไปขยายให้เป็นตัวละครนั้นๆ อีกที เราว่าตัวเราเอง มันก็มีหลายด้านหลายมุม คืออย่างตอนเล่นเป็นออย มันก็มีบางมุมที่เป็นออยนะ อาจจะไม่ได้เท่ากับออยในเรื่องขนาดนั้น

พี่ฟิวส์ : ย้อนกลับไปช่วง ม.ปลาย ฟรังมีวิธีค้นหาตัวเองยังไง แล้วจู่ๆ มาลงเอยที่หมอได้อย่างไร
พี่ฟรัง : ตอนนั้น ก็พยายามดูว่าเราชอบอะไร อย่างของเราเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยชอบวิชาคณิตเท่าไหร่ แต่วิทยาศาสตร์ เราก็เอนจอยกับวิชานี้นะ อย่างชีวะนี่คือค่อนข้างชอบเลย สนุกกับการเรียน ส่วนมุมมองต่ออาชีพนี้ เราก็คิดว่าเป็นอาชีพที่ดีนะ ได้ช่วยเหลือคน ถ้าเราได้ช่วยชีวิตคนๆ นึง ก็คงจะเป็นเรื่องราวดีๆ สุดท้ายเราก็เลยมาลงเอยที่เส้นทางนี้

พี่ฟิวส์ : แล้วถ้าย้อนกลับไปตอนเด็กๆ เลยล่ะ เคยใฝ่ฝันว่าอยากเป็นอะไรบ้าง
พี่ฟรัง : ตอนเด็กๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเยอะมากๆ เลย หมอก็เคยนะ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าหมอทำอะไรบ้าง พอโตมาหน่อย ก็อยากจะเป็นวิศวกร ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากสร้างตึก รู้สึกว่าชอบอะไรที่มันจับต้องได้ เจ้าของโรงแรมก็เคย นักการทูตก็เคยอยากเป็น เพราะว่าเคยเรียนภาษาจีน แล้วเรารู้สึกว่าเราเรียนภาษาได้ดี ตอนเรียน เราสามารถเข้าใจได้ง่าย แต่พอขึ้น ม.ปลาย เราก็มาคิดจริงๆ จังๆ ว่าอยากเป็นอะไร ไปๆ มาๆ ก็เลยมาลงเอยที่หมอนี่เอง

พี่ฟิวส์ : ฟรังเคยเข้าค่ายหรือโอเพนเฮ้าส์ของมหาวิทยาลัยที่ไหนบ้าง
พี่ฟรัง : ตอนนั้นเราก็สมัครค่ายอยากเป็นหมอ ของแพทย์ จุฬาฯ ที่นี่เลย ตอนอยู่ ม.4 ตั้งใจทำใบสมัครมากๆ เลยนะ แต่สุดท้ายก็ไม่ติด อดไปเลยจ้า ส่วนโอเพนเฮ้าส์ ก็เคยมาของจุฬาฯ วิชาการ เคยมาดูท่านอาจารย์ใหญ่ และก็หลายๆ อย่างในคณะแพทย์ของที่จุฬาฯ ด้วย

พี่ฟิวส์ : ขึ้นชื่อว่าหมอ การสอบเข้าเป็นอะไรที่ยากมาก การที่เราต้องเตรียมตัวสอบไปพร้อมๆ กับช่วงการถ่ายทำฮอร์โมน แล้วฟรังแบ่งเวลาอย่างไร
พี่ฟรัง : ตอนนั้นก็หนักอยู่ แต่ว่าเราก็พยายามทำตามกำลังที่เรามี ให้มันดีที่สุด เหมือนเวลามันน้อย แต่เราก็ใช้เวลานั้นให้มันคุ้มค่าที่สุด เวลาไปกองถ่าย เราก็พกหนังสือไปด้วย ตอนช่วงเซ็ตฉาก หรือซีนไหนที่เราไม่ต้องเข้า ก็ยังพอมีเวลาว่าง หลังจากอ่านบท เราก็มาอ่านหนังสือ ชีวิตช่วงนั้น ก็มีแค่ถ่ายกับอ่าน ถ่ายกับอ่าน วนไปวนมา เราอยากเข้าหมอมากๆ ความพยายามของเราก็ต้องมากเช่นกัน

พี่ฟิวส์ : แปลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกอง ไม่สามารถมาทำอะไรกับการอ่านหนังสือของเราได้เลย?
พี่ฟรัง : แน่นอนอยู่ว่า มาอ่านที่กอง ก็คงไม่ได้อ่านในที่เงียบๆ แต่เราก็เอาวิชาที่มันไม่ต้องใช้ความคิดมากมาที่กองแทน เช่นการท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือท่องจำต่างๆ ไม่ใช่ว่าเป็นวิชาที่ต้องใช้สมาธิมากๆ เช่นการทำโจทย์เลข ที่หลุดนิดหลุดหน่อย เราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปยังไงต่อแล้ว

พี่ฟิวส์ : แล้วฟรังสร้างความมั่นใจให้ตัวเองได้อย่างไรว่าเราจะต้องแบ่งเวลาได้แน่ๆ
พี่ฟรัง : จริงๆ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้มั่นใจนะ ว่าเราจะทำได้ แต่ว่าเราก็เป็นออยไปแล้ว เรามาเส้นทางนี้แล้ว เราเป็นคนเลือกเอง เราก็อยากที่จะเล่นเป็นออยด้วย แล้วเราก็อยากที่จะทำตามความฝันของเราให้สำเร็จด้วยเช่นกัน ก็เลยให้กำลังใจตัวเองว่าต้องทำให้ได้นะ “ฟรังเก่ง.. ฟรังทำได้ !!”

ให้กำลังใจตัวเองว่าต้องทำให้ได้นะ “ฟรังเก่ง.. ฟรังทำได้ !!”

พี่ฟิวส์ : พอมาถึงปีสองแล้ว เราคิดยังไงกับการเรียนหมอที่จุฬาฯ
พี่ฟรัง : ตอนนี้คือมีความสุขมากๆ เลยนะ คือที่นี่ก็เป็นคณะที่หนักแหละ แต่ก็เป็นคณะที่อบอุ่นในแบบของมัน และตอนนี้เราก็ปรับตัวในการใช้ชีวิตเป็นนิสิตแพทย์ได้ อย่างเรียนที่นี่ ก็จะมีสอบเรื่อยๆ เนื้อหาก็จะเยอะมากๆ แต่สุดท้าย เราว่ามันก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าเราจะใช้ชีวิตยังไง คือเราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองเยอะมาก ความรับผิดชอบก็ต้องเยอะมาก ตอนนี้เราว่า เราก็สามารถบาลานซ์ชีวิตในการอยู่ที่นี่ได้แล้ว

อย่างตอนอยู่ปี 1 มันก็ยังชิลล์ๆ ไม่หนักมาก เรียนแค่วิทยาศาสตร์พื้นฐาน พอขึ้นปีสองมาก็หนักเลย ช่วงแรกๆ เราก็จะค่อนข้างเครียดนิดนึงนะ เพราะอยู่ที่นี่ก็มีแต่คนเก่งๆ ตอนนั้นเราก็ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ เพราะว่าต้องอ่านหนังสือทุกวัน พอเราคิดว่าสิ่งที่เรากำลังเรียน เป็นสิ่งที่เราอยากรู้ เราก็จะโอเคกันมัน การเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนก็สำคัญเหมือนกันนะ เพื่อนของเราก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พอเราไม่อยู่ ก็คอยตามงานให้ และก็มีช่วยกันสรุปเรื่องที่เรียนกันด้วย อยู่ที่นี่ก็แฮปปี้มากๆ เลย

พี่ฟิวส์ : ที่บอกว่าอ่านหนังสือทุกวัน แล้วการอ่านในสไตล์ของฟรังเป็นยังไงบ้าง เผื่อน้องๆ อยากจะลองเอามาทำตาม
พี่ฟรัง : อย่างถ้าเป็นตอนนี้ ด้วยความที่เนื้อหามันเยอะมากๆ และเรารู้ว่าก่อนสอบ เราไม่มีทางอ่านได้หมดแน่ๆ ก็ถ้ามีเวลา เราก็จะค่อยๆ ทยอยอ่าน จดสรุปเอาไว้ แล้วพอช่วงใกล้สอบ เราก็จะอ่านแค่สรุป เพื่อที่จะอ่านได้ทัน เหมือนจริงๆ ตอนกลางภาคเทอมแรก เราไม่ได้ทำสรุป แล้วก็กะว่าก่อนสอบ ก็จะค่อยมาอ่านสไลด์อีกที แต่ว่ามันก็ไม่ทัน เพราะว่าสไลด์มันเยอะมาก มีเป็นพันหน้า ไม่มีทางอ่านได้ทัน ก็เลยได้เรียนรู้จากครั้งนั้น แล้วเอามาปรับสไตล์การอ่านหนังสือสอบในครั้งต่อไป จะได้ไม่หนักจนเกินไปเหมือนครั้งก่อนๆ

ค่อยๆ ทยอยอ่าน จดสรุปเอาไว้ แล้วพอช่วงใกล้สอบ เราก็จะอ่านแค่สรุป เพื่อที่จะอ่านได้ทัน

พี่ฟิวส์ : แล้วฟรังอยากเป็นคุณหมอในด้านไหนเอ่ย
พี่ฟรัง : ตอน ม.4 ก็เคยอยากเป็นแพทย์ผิวหนังอยู่ แต่ถ้าถามตอนนี้ ก็ยังไม่ได้แน่ใจขนาดนั้น อย่างเข้ามาเรียนที่นี่ ก็จะมีพี่ๆ คอยมาบอกว่า จริงๆ เราจะอยากรู้ว่าเราอยากเป็นแพทย์ด้านไหน ก็ตอนที่เราได้ขึ้นคลินิก ตอนอยู่ปี 4 เป็นต้นไป เพราะเหมือนว่าเราก็จะได้ไปลองในแต่ละวอร์ด ตอนนี้ก็เรียนๆ ไปก่อน ยังไม่ต้องคิดถึงขั้นนั้นก็ได้

พี่ฟิวส์ : แล้วฟรังวาดฝัน วางอนาคตอย่างไร หลังจากเรียนจบ ทั้งในวงการบันเทิง และในเส้นทางอาชีพหมอ
พี่ฟรัง : ถ้ามีโอกาส ก็ยังอยากทำทั้งสองอย่าง ทำเท่าที่เราไหว เท่าที่เราโอเค เราแฮปปี้

พี่ฟิวส์ : บนหน้าจอสี่เหลี่ยม นอกจากในซีรีส์ ฟรังก็ได้มีโอกาสพูดใน TEDxChulalongkornU ด้วย ฟรังได้ไปพูดบนเวทีนี้ได้ยังไง เล่าให้น้องๆ ฟังกันหน่อย
พี่ฟรัง : ตอนนั้นก็งงมากเหมือนกัน เพราะว่าตอนนั้นเราก็เพิ่งสอบติดจุฬาฯ ยังไม่ได้ขึ้นปี 1 เลย แล้วก็มีรุ่นพี่โทรมา “น้องฟรังรู้จัก TED มั้ยคะ” เราก็ อ๊อ.. “เท็ดที่เป็นหมีหรอคะ” พี่เขาก็เลยส่งคลิปของพี่ปู ไปรยา และของคนอื่นๆ มาให้ดู ซึ่งเราดูๆ แล้ว เราคงพูดแบบนี้ไม่ได้ ก็เลยปฏิเสธไป แต่พี่เขาก็ได้พูดไว้ว่าเวทีนี้มีอาจารย์อุ๊ มีคนนู้นคนนี้มานะ มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับฟรังมากๆ เลย ก็คือพี่เขาก็พูดหว่านล้อมเราอย่างที่สุดอะ

เราก็เลยลองกลับไปคิดๆ ดู คิดไปคิดมา เราก็คิดว่ามันก็น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ เหมือนอย่างที่บอกไปตอนแรกเลยว่า เราเป็นคนที่ชอบลอง ก็เลยตอบรับคำเชิญของพี่เขาไป พวกพี่ๆ เขาก็คอยให้กำลังใจ “พี่เชื่อว่าฟรังทำได้ ไม่ต้องกลัว” และก่อนที่จะขึ้นพูดจริง ก็มีการซักซ้อม มีพี่ๆ ทีมงานคอยช่วยเราดูด้วย ถ้าเราได้พูด TED สักครั้งนึงในชีวิต มันก็น่าจะเป็นเรื่องราวดีๆ เรื่องนึงในชีวิตของเรา เอาไปอวดลูดอวดหลานได้ “ตอนยายเด็กๆ ตอนอยู่ปี 1 ยายเคยพูด TED นะ”

มันก็น่าจะเป็นเรื่องราวดีๆ เรื่องนึงในชีวิตของเรา เอาไปอวดลูดอวดหลานได้ “ตอนยายเด็กๆ ตอนอยู่ปี 1 ยายเคยพูด TED นะ”

พี่ฟิวส์ : แล้วทำไมฟรังถึงเลือก “โลกสวย…” มาพูดบนเวที TED ในครั้งนี้
พี่ฟรัง : คือหลังจากที่เราตอบรับไป เราก็ไปดูคลิปของ TED ที่ผ่านๆ มา ว่าเขาพูดเรื่องอะไรกัน แล้วเราก็พบว่า แต่ละคนก็จะชำนาญในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งตอนนั้น เราก็ไม่ได้ชำนาญด้านใดด้านหนึ่งอะไรเลย เราก็เลยไม่รู้ว่าเราจะพูดเรื่องอะไร พี่เขาก็เลยถามเราว่า “ฟรังอยากบอกอะไรกับคนที่ได้ฟังเราบ้าง” เราก็เลยคิดเรื่องนี้ขึ้นมาว่า ในช่วงที่ผ่านๆ มา มันก็มีกระแสเรื่อง Cyberbully เยอะประมาณหนึ่ง ไม่ต้องบนโลกออนไลน์ ก็มีอะไรแบบนี้เหมือนกัน คนรอบตัวเราก็เคยเจอเหตุการณ์อะไรทำนองนี้ เราก็เลยเล่าเรื่องนี้ละกัน เป็นเรื่องที่แชร์มุมมอง ที่เราเคยผ่านมา แล้วอยากให้คนฟังได้ย้อนคิดถึงตัวเอง ก็เลยมาลงเอยที่หัวข้อนี้

พี่ฟิวส์ : ฝากถึงน้องๆ ที่กำลังค้นหาตัวเอง และการเตรียมตัวสอบที่จะมาถึงเร็วๆ นี้ กันหน่อย
พี่ฟรัง : อยากให้ค้นหาตัวเองให้เจอ ลองดูว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ลองค่อยๆ ตัดชอยส์ก็ได้ ฟรังเชื่อว่า ถ้าเรามีเป้าหมายแล้ว มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น ถ้าเราไม่มีเป้าหมาย มันก็จะเคว้งคว้างไปหมด และต้องหาเส้นทางที่จะไปถึงจุดปลายปลายทางให้ได้ เราว่าแต่ละคนก็จะมีเส้นทางที่แตกต่างกันออกไป ก็ขอให้น้องๆ สู้ๆ จะสอบมีนาคมนี้แล้ว ก็อีกไม่นาน ก็อยากให้ใช้เวลาที่มีเหลือ ทำให้เต็มที่ที่สุด เราเชื่อว่าทุกคนจะต้องภูมิใจกับผลลัพธ์ที่ได้ออกมา ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้เป็นดั่งที่เราหวัง แต่เราก็จะได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง จากการสอบครั้งนี้อย่างแน่นอน อยากให้ทุกคนทำให้เต็มที่ที่สุดก่อน สู้ๆ นะ !!

อยากให้ทุกคนทำให้เต็มที่ที่สุดก่อน สู้ๆ นะ !!

พี่ฟิวส์ : และส่งท้ายกันที่ซีรีส์เรื่องที่กำลังฮอตมากๆ ตอนนี้ เชิญชวนน้องๆ มาชมซีรีส์เรื่องนี้กันหน่อย
พี่ฟรัง : ก็อยากจะฝากติดตามซีรีส์ “Shoot! I Love You ปิ้ว! ยิงปิ๊งเธอ” กัน คืออย่างที่บอกว่า เรื่องนี้จะเป็นแนวโรแมนติกคอมเมดี้ ผ่อนคลาย สบายๆ เชื่อว่าทุกคนก็จะได้รอยยิ้มจากการดูซีรีส์เรื่องนี้ เพลิดเพลินไปกับการดู และยังแฝงความรู้เกี่ยวกับกีฬายิงธนูอีกด้วย เชื่อว่าหลายๆ คน ก็ไม่น่าจะรู้ว่าธนูเล่นยังไง แข่งกันยังไง ตัวฟรังก็ไม่รู้ จนกระทั่งได้มารับบทในเรื่องนี้ ก็อยากจะฝากให้น้องๆ มาติดตามกันดู เผื่อน้องๆ จะมีใครสนใจในกีฬายิงธนู เชื่อว่าพอดูจนจบ ทุกคนจะต้องได้อะไรจากซีรีส์เรื่องนี้แน่ๆ จากการเติบโตของทุกตัวละครในซีรีส์เรื่องนี้ อยากให้ทุกๆ คนเติบโตไปกับซีรส์เรื่องนี้ ทุกๆ อาทิตย์เลย มาดูกันได้ ทุกวันเสาร์ 3 ทุ่ม 45 ช่อง GMM25 ฝากด้วยนะค้าาา..


เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย กับแคมป์ไอดอลใน EP. นี้ ที่พี่ฟิวส์ได้พาน้องๆ มาเจอะเจอกับพี่ฟรัง สำหรับพี่ฟิวส์เอง นอกจากที่จะได้ดีใจอย่างบ้าคลั่งที่ได้เจอะเจอกับพี่ฟรังแล้ว (หลังจากรอคอยวันนี้มานานแสนนาน เพราะเป็นเอฟซีพี่ฟรังมาตั้งแต่ยังอยู่ประถม!!) ก็ยังได้แง่คิดดีๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของตัวเอง อย่างการแบ่งเวลา และการอ่านหนังสือเตรียมสอบ ทั้งมิดเทอมและไฟนอลในมหาวิทยาลัย น้องๆ ก็อย่าลืมนำข้อคิดดีๆ จากพี่ฟรังนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองด้วยล่ะ

และที่สำคัญ !! อย่าลืมติดตามผลงานของพี่ฟรัง อย่าง “Shoot! I Love You ปิ้ว! ยิงปิ๊งเธอ” ทุกวันเสาร์ 3 ทุ่ม 45 ทางช่อง GMM25 กันด้วยนะ สนุกแน่นอน พี่ฟิวส์รับประกัน รวมทั้งผลงานอื่นๆ ของพี่ฟรัง ที่พี่ฟรังกระซิบบอกมาว่าปีหน้าก็จะมีอะไรให้ติดตามกันอีกแน่นอน !!

สำหรับปีใหม่ ปีจอ 2561 ที่จะถึงนี้ ถ้าน้องๆ คนไหนไปเที่ยวไกลๆ ก็ขอให้เดินทางอย่างปลอดภัย และก็ขอให้ปีใหม่นี้ เป็นปีที่สุดจะฟีลกู๊ดสำหรับน้องๆ แล้วมาพบกันใหม่ ในแคมป์ไอดอลในปีหน้า สำหรับวันนี้ พี่ฟิวส์ พี่ฟรัง และทีมงานแคมป์ฮับต้องขอลาไปก่อน บั๊ยบายยยย ฟิ่ววววว.. ~~~

แคมป์ไอดอล : พี่ฟรัง นรีกุล เกตุประภากร (IG : frungnarikunn)
สัมภาษณ์ : พี่ฟิวส์ แคมป์ฮับ
ตากล้อง : พี่ซัน แคมป์ฮับ และพี่ตั๋ม YWC #15
กราฟิก : พี่อัยย์ แคมป์ฮับ
วีดีโอ : พี่นะเอย แคมป์ฮับ
สถานที่ : คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ขอขอบคุณ : GDH และนาดาวบางกอก

กดแชร์เอาไว้อ่านทีหลัง หรือแชร์ให้เพื่อน คลิกด้านล่างเลยจ้า

ข้อมูลผู้เขียน

พี่ฟิวส์

พี่ชื่อฟิวส์ ตอนนี้จบวิศวเคมี บางมดแล้ว ตอน ม.ปลาย ก็เป็นเด็กล่าค่ายประมาณนึงเลย พูดเลยว่า "ถ้าไม่ได้เข้าค่าย ก็ไม่ได้มาทำ CAMPHUB นะ" อยากให้น้องๆ หาโอกาสไปลองเข้าค่าย ทำกิจกรรมกันดูนะ เผื่อเราจะได้เจอคำตอบว่า "เราอยากเรียน อยากทำสิ่งๆ นี้ จริงๆ มั้ย?"

ข้อมูลผู้เขียน

Na-oei (พี่นะเอย)

สวัสดีค่ะ พี่นะเอย รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปี 4 ค่ะ