สวัสดีปีใหม่ 2021 แด่น้อง ๆ ชาว CAMPHUB ทุกคนค่า วันนี้ก็มาพบกับ พี่มะแม้ว ในคอลัมน์ CAMPHUB up skill by BASE Playhouse กันอีกแล้ว กับเคล็ดลับการเพิ่มทักษะเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น และเพื่อพิชิตคณะในฝันสำหรับน้อง ๆ มัธยมทุกคน
ในช่วงปีใหม่นี้ พี่เชื่อว่าน้องๆ หลายคนน่าจะมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงตัวเองกันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจเรียนให้มากขึ้น อยากทำกิจกรรมเยอะขึ้น หรือการค้นหาตัวเองให้เจอว่าเราเหมาะกับคณะไหน ตั้งใจจะสอบให้ติดคณะในฝัน แต่ปัญหาของน้อง ๆ หลายคนคือ พอตั้งเป้าหมายเสร็จแล้วเราต้องทำอะไรต่อเพื่อให้เป้าหมายนั้นสำเร็จ?
จริง ๆ แล้วสาเหตุที่เรายังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อพิชิตเป้าหมาย อาจเป็นเพราะเรายังตั้งเป้าหมายได้ไม่ชัดเจนพอ วันนี้พี่เลยนำวิธีการตั้งเป้าหมายแบบ SMART ที่ทำให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายได้มากกว่าเดิม (และอาจจะเร็วขึ้นด้วยนะ) มาให้น้อง ๆ ได้รู้จักกันจ้า
SMART คืออะไร?
SMART = Specific + Measurable + Achievable + Realistic + Timely
S = Specific (เป้าหมายของเราต้องเฉพาะเจาะจง)
เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ไม่กว้างเกินไป ไม่คลุมเครือ จะทำให้น้อง ๆ รู้เองว่าต้องทำอะไรต่อจากนี้ ลองเปลี่ยนจากการตั้งเป้าหมายแค่ ‘ปีนี้จะอ่านหนังสือเพื่อพิชิตคณะในฝัน’ เป็นการกำหนดเลยว่าจะอ่านวิชาไหน เช่น ปีนี้จะอ่านหนังสือและทำโจทย์ GAT PAT2 และ O-NET (ใครยังไม่รู้ว่าคณะในฝันของตัวเองใช้คะแนนวิชาไหนบ้าง ต้องรีบหาข้อมูลแล้วนะ!) แล้วค่อยแบ่งเวลาในการอ่านแต่ละวิชาแยกไปอีก
M = Measurable (เป้าหมายต้องวัดผลได้)
เป้าหมายที่วัดผลไม่ได้ จะรู้ได้ยังไงว่าทำสำเร็จแล้ว? การวัดผลสิ่งที่ทำออกมาได้ด้วยตัวเลข ข้อความ หรืออะไรที่สัมผัสจับต้องได้ จะทำให้เรามีโอกาสพิชิตเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น เช่น วันนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะทำโจทย์ PAT2 10 ข้อ พร้อมทบทวนข้อที่ทำผิด การกำหนดจำนวนข้อเอาไว้ชัดเจน จะทำให้เรารู้ว่าต้องแบ่งเวลาของวันนี้ไว้กี่ชั่วโมงเพื่อทำโจทย์ การวัดผลของเป้าหมายนี้ทำได้ทั้งวัดจำนวนข้อที่ทำทั้งหมด จำนวนข้อที่ถูก และข้อที่ผิด มองเห็นพัฒนาการของตัวเอง การเห็นความก้าวหน้าของตัวเองจะทำให้มีกำลังใจสู้เพื่อเป้าหมายในวันต่อ ๆ ไปด้วย
A = Achievable (เป้าหมายต้องบรรลุผลได้)
ถ้าเรามีเป้าหมายที่ดีมาก ๆ แต่เป้าหมายนั้นยากเกินไป ก็คงไม่มีประโยชน์เลย การที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ เราต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าตอนนี้เราทำอะไรได้แค่ไหน ยกตัวอย่างการอ่านหนังสือ แม้ว่าเราตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจน คือ วันนี้ต้องอ่านหนังสือได้ทั้งหมด 40 หน้า! แต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยอ่านหนังสือได้เกิน 10 หน้า จึงเป็นไปได้ยากที่จะทำได้จริงตั้งแต่วันแรก หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ การตั้งใจงดขนมหวานเด็ดขาด 1 เดือน แต่ที่ผ่านมาเรากินขนมหวานวันละ 2-3 ชิ้น ก็มีโอกาสที่เราจะล้มเลิกความตั้งใจสูงมาก ๆ
จริง ๆ แล้ว เป้าหมายของเราสามารถปรับเพิ่ม – ลดได้ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เพิ่มความท้าทาย ทำได้อย่างสม่ำเสมอ ดีกว่าทำได้ 2-3 วันแล้วเหนื่อยเกินไป ไม่รู้สึกสนุกกับมันนั่นเองจ้า
R = Realistic / Relevant (เป้าหมายต้องเป็นไปได้จริง)
เป้าหมายนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริงจากตัวเราเอง ไม่ต้องอาศัยโชคช่วย ถ้าตั้งเป้าว่าฉันจะถูกหวย อันนี้ไม่ SMART แล้วน้า เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้มาจากความสามารถของตัวเอง (แต่เสียเงินของตัวเอง อันนี้แน่นอนเลย)
T = Timely (เป้าหมายของเราต้องมีช่วงเวลาที่ชัดเจน)
การตั้งเป้าหมายที่ดี ต้องกำหนดเลยว่าจะทำสิ่งนี้ภายในเวลากี่วัน กี่เดือน โดยแนวทางการกำหนดเวลาก็คือ ดูว่าเรามีเวลาสำหรับเป้าหมายนั้นเท่าไหร่ เช่น เป้าหมายของเราคือการสอบติดคณะในฝัน แต่ควรเผื่อเวลาสำรองไว้บ้าง อย่าให้พอดีเกินไป เช่น อีก 4 เดือนจะสอบ PAT1 ไม่ควรตั้งเป้าอ่านให้จบใน 4 เดือนพอดี แต่ควรตั้งเป้าให้ตัวเองอ่านจบภายใน 3 เดือน เหลืออีก 1 เดือนไว้ทบทวน ทำโจทย์เพิ่มเติมดีกว่า
ตัวอย่างเป้าหมายที่ทำได้จริง
- เดือนนี้ฉันจะอ่านหนังสือและทำสรุปวิชาชีวะ วันละ 1 บท เป็นเวลา 15 วัน
เป้าหมายนี้เจาะจงไปที่วิชาชีววิทยา วัดผลได้จาก lecture ของเรานั่นเอง (แต่อย่าลืมกลับมาอ่านสรุปของตัวเองซ้ำนะ เพราะการอ่านหนังสือแค่รอบเดียวมีโอกาสลืมเนื้อหาสูงมาก) และกำหนดระยะเวลาไว้ 15 วัน เราสามารถอ่านวันเว้นวันตลอดทั้งเดือน หรืออ่านต่อเนื่อง 15 วัน แล้วแบ่งเวลาอีก 15 วันที่เหลือไปทำอย่างอื่น ค่อนข้างยืดหยุ่น ไม่ตึงเครียดจนเกินไป เป็นเป้าหมายที่ SMART
- ภายในปีนี้ฉันจะเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ 5 ครั้ง
เป้าหมายนี้เจาะจงไปที่กิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุ ทำให้เรามีโฟกัสแน่นอนขึ้นในการหากิจกรรม และทำได้จริงด้วยเพราะไม่ตึงเครียดเกินไป เฉลี่ย 2 เดือนกว่า ๆ เข้าร่วมกิจกรรม 1 ครั้ง ไม่กดดันจนเกินไปนั่นเองจ้า
มีใครอ่านจบแล้วอยากจะตั้งเป้าหมายของตัวเองทันทีบ้าง? หรืออ่านจบแล้วคิดว่า เดี๋ยวค่อยลองตั้งเป้าหมายดูแล้วกัน ยิ่งรอยิ่งไปถึงเป้าหมายช้านะ! โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่มีเป้าหมายเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัย สอบติดคณะในฝัน แต่มีวิชาที่ต้องวางแผนตั้งเป้าหมายในการอ่านหนังสือเยอะแยะมากมาย BASE Playhouse มีคอร์สออนไลน์ Time Management for ‘TCAS’ จัดการเวลายังไงให้สอบติดสอบผ่าน #TCAS สำหรับน้อง ๆ มัธยม เพื่อการเรียนและสอบอย่างมั่นใจ
คอร์สเป็นแบบ Online เรียนที่ไหน เวลาไหนก็ได้ ขอแค่มีอินเตอร์เน็ต และอุปกรณ์ที่สามารถดูวิดีโอได้ แต่สามารถปรึกษาพี่ ๆ ได้อย่างใกล้ชิดผ่าน Page Facebook และ Line คอร์สนี้ใช้เวลาเรียนเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ทักษะที่ได้รับรองว่าจัดเต็ม
ภายในคอร์สนี้น้อง ๆ จะได้รู้จักเทคนิคและวิธีการวางแผนจัดการเวลามากมาย เช่น Framework การแบ่งเวลา เทคนิครับมือการผัดวันประกันพรุ่ง เครื่องมือการจัดการเวลาขั้นเทพที่ผู้ใหญ่หลายคนยังใช้ไม่เป็น และที่สำคัญ คอร์สนี้ไม่ได้สอนแค่การจัดการเวลาเพื่อการเรียนและการสอบ แต่ยังสามารถนำไปใช้ได้กับทุกเรื่องของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การทำกิจกรรม เล่นเกม พักผ่อน หรือการแบ่งเวลาไปเที่ยวได้แบบสบาย ๆ (เพราะฉะนั้นน้อง ๆ ม.ต้น หรือน้อง ๆ ที่ไม่ต้องสอบ TCAS ก็สามารถเรียนได้เช่นกัน)
น้อง ๆ สามารถสมัครคอร์ส Time Management for TCAS ในราคาพิเศษเพียง 99 บาท (จากราคาปกติ 550 บาท) และสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการรับ certificate จาก BASE Playhouse และต้องการให้พี่วิทยากร review แผนจัดการเวลา และ comment เพื่อปรับปรุงแผนให้ใช้ได้จริง สามารถสมัครเป็นแพคเกจ ในราคา 299 บาทเท่านั้น สามารถติดตามรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลจากพี่ๆ ทาง Line: หรือทาง Facebook page: BASE Playhouse ได้เลย!
อย่าลืมติดตามเทคนิคดี ๆ เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ที่พี่มะแม้วจะนำมาฝากในบทความต่อไปน้า บ๊ายบายค่า
เขียนโดย พี่มะแม้ว เบส เพลย์เฮ้าส์
ตรวจทาน พี่ออฟ แคมป์ฮับ
กราฟิก พี่อัยย์ แคมป์ฮับ