🧠‘Brain Rot’ ขึ้นแท่นเป็นคำศัพท์แห่งปี 2024 ที่ถูกเลือกโดย Oxford Dictionary โดยในปีที่ผ่านมามีการใช้คำนี้มากขึ้นถึง 230% ในโลกโซเชียล
คำว่า Brain Rot สามารถแปลเป็นภาษาไทยอย่างตรงตัวได้ว่า ‘สมองบูด’ หรือ ‘สมองเน่า’ซึ่งใช้อธิบายภาวะที่สติปัญญาและสภาพจิตใจเสื่อมถอยที่เกิดขึ้นกับคนในปัจจุบัน เนื่องจากการเสพสื่อออนไลน์ไร้สาระมากเกินไป จนทำให้สมองไม่ค่อยได้คิดวิเคราะห์เนื้อหาที่ซับซ้อน โดยเปรียบเทียบเป็นสมองที่เน่าบูดนั่นเอง
ส่วนที่มาของคำว่า Brain Rot นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1854 ในหนังสือเรื่อง ‘Walden’ ของ ‘เฮนรี เดวิด ทอโร (Henry David Thoreau)’ นักปรัชญาชาวอเมริกันที่ปลีกวิเวกเข้าไปปลูกกระท่อมริมบึงเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต โดยเนื้อหาในนั้นมีประโยคหนึ่งที่ทอโรได้กล่าวว่า “ในขณะที่อังกฤษกำลังพยายามรักษาโรคมันฝรั่งเน่า จะไม่มีใครเลยหรือ? ที่พยายามรักษาโรคสมองเน่าซึ่งแพร่ไปทั่วและร้ายแรงมากกว่า”
ทอโรได้ใช้คำว่า ‘สมองเน่า’ อธิบายแกมเสียดสภาพสังคมในยุคนั้น ที่ผู้คนมักจะลดทอนแนวคิดที่ซับซ้อนและเลือกใช้แนวคิดที่เรียบง่าย แถมปรากฏการณ์นี้ยังบ่งบอกว่าผู้คนมีระดับสติปัญญาและสภาพจิตใจด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หากเปรียบกับสมัยนี้ก็คงหมายถึงการที่คนเราใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเสพเรื่องไร้สาระตลอดเวลาโดยเกินจำเป็น และทำให้สมองของเราชินชากับอะไรที่มาไว ไปไว และไม่ได้แก่นสาร
🤯เนื้อหาไร้สาระส่งผลให้ ‘สมองบูด’ ได้จริงไหม?
หากพูดถึง ‘เนื้อหาไร้สาระ’ มันมักจะมีความสนุกเพลิดเพลิน ช่วยคลายเครียดได้ เมื่อดูบ่อย ๆ จะทำให้โดปามีนฮอร์โมนแห่งความตื่นเต้นและความสุขหลั่งออกมา เราจึงเสพติดโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นมีมล้อเลียนตลก ๆ คนทะเลาะกันในโลกออนไลน์ ละครคุณธรรม ข่าวฉาวดารา หรือแม้แต่คลิปน้องหมา น้องแมว ทั้งหมดนี้ล้วนจรรโลงใจก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรจากการดูสิ่งเหล่านี้เลย
ในขณะเดียวกันสมองของเราจะปฏิเสธเนื้อหาที่ไม่สนุกด้วย ยิ่งสมองชื่นชอบคอนเทนต์เพลิน ๆ ระยะเวลาสั้น ๆ ยิ่งส่งผลให้ความสามารถในการประมวลผลของสมองลดลง เราจะเข้าใจได้แต่เนื้อหาง่าย ๆ แต่พอเป็นเรื่องยากยาว ๆ มีความท้าทาย ก็จะทำความเข้าใจได้ช้าลง ฉะนั้นภาวะสมองบูดอาจหมายถึงการที่เราเสพติดเนื้อหาเบาสมองมากเกินไป เมื่อได้เจอกับเนื้อหาที่ซับซ้อนหรือมีประโยชน์ แต่ไร้ซึ่งความเพลิดเพลิน เราจึงเลี่ยงที่จะรับรู้
ถ้าลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คงเป็นตอนที่เรานั่งไถโทรศัพท์ดูทั้งวันโดยไม่เบื่อ แต่อิดออดที่จะเปิดหนังสือเรียนอ่าน หรือเบื่อหน่ายที่ต้องฟังคุณครูในห้องนั่นเอง
จากการสำรวจของสถาบันจิตเวชเด็กและวัยรุ่นสหรัฐอเมริกาพบว่า ในปี 2023 เด็กอายุระหว่าง 8 – 12 ปี ใช้เวลาในโลกออนไลน์ประมาณ 4 – 6 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่วัยรุ่นใช้เวลามากถึง 9 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ควรเกินสัปดาห์ละ 16 ชั่วโมง เพราะอาจส่งผลให้เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) ได้
นอกจากนี้ภาวะสมองบูดยังส่งผลกับจิตใจอีกด้วย งานวิจัยจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า 1 ใน 7 ของผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่มีอายุระหว่าง 10 – 19 ปีกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต ทั้งอาการซึมเศร้า วิตกกังวล เครียด นอนไม่หลับ ฯลฯ เพราะในโลกโซเชียลมีเดียคนเราต่างเลือกนำแต่ด้านดี ๆ ของตัวเองมาเผยแพร่ จึงทำให้หลายคนรู้สึกด้อยค่าและเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในวัยรุ่น วัยแห่งการสร้างตัวตน ยิ่งอ่อนไหวง่ายเมื่อรู้สึกว่าตัวเองแตกต่าง อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองไปเลยก็ได้
🤓เราจะทำอย่างไรไม่ให้สมองบูด?
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ‘ใช้หน้าจออย่างจำกัดและหากิจกรรมอื่นทำ’ เช่น กำหนดให้ตัวเองไม่ดูจอเวลากินข้าวและเวลาทำการบ้าน แล้วหากิจกรรมอื่นทำทดแทนมากขึ้น เช่น ใช้เวลากับครอบครัว ไปเล่นกับเพื่อน หรือทำงานอดิเรกที่ชวนให้เราจดจ่อกับมันเป็นเวลานานได้ เป็นต้น
เปลี่ยนโซเชียลมีเดียให้มีแต่ ‘คอนเทนต์คุณภาพ’ หากเลี่ยงที่จะเป็นมนุษย์ออฟไลน์ไม่ได้ เราก็สร้างสังคมใหม่ได้ด้วยตัวเอง โดยการเปลี่ยนหน้าฟีดโซเชียลมีเดียให้เต็มไปด้วยสาระและความรู้ อย่างช่องเนื้อหาดี ๆ ที่จะทำให้น้อง ๆ เสพสื่อคุณภาพได้อย่างไม่น่าเบื่อ ต่อไปนี้
🧩FAROSE: พาท่องเที่ยวเชิงความรู้และนำเสนอเรื่องใกล้ตัวที่ได้ทั้งสาระและความบันเทิง https://shorturl.asia/NPYM1
🧩คำนี้ดี Podcast: พอดแคสต์เรียนภาษาอังกฤษที่สนุกสาน เข้าใจง่าย รับรองไม่เบื่อ https://shorturl.asia/cqDNn
🧩Point of View: เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ที่ยาก ๆ ให้สนุกและเข้าใจง่าย https://shorturl.asia/Kedxp
🧩KongGreenGreen: สายรักโลกต้องดู! ช่องที่แนะนำวิถีชีวิตแบบกรีน ๆ ที่ทำตามได้เลย https://shorturl.asia/nvcJS
🧩The Standard Podcast: แหล่งรวมความรู้น่าสนใจทั้งด้านปรัชญา เศรษฐกิจ จิตวิทยา การเงิน ภาษา ฯลฯ https://shorturl.asia/wrkoi
🧩Tang Makkaporn: รวมเรื่องลึกลับและคดีปริศนา แถมยังสอดแทรกความรู้เรื่องการแพทย์ https://shorturl.asia/VovgY
🧩ซิดนีย์ วิทยาศาสตร์ร่างกาย: เล่าเรื่องสุขภาพและการดูแลตัวเองแบบที่ทำตามได้ https://shorturl.asia/QcI8b
ด้วยเรื่องราวของ ‘Brain Rot’ ทั้งหมดนี้ ทำให้เราเข้าใจคำกล่าวที่ว่า “You Are What You Eat กินอะไรก็ได้แบบนั้น” เพิ่มขึ้นเป็นอย่างดี เพราะคำกล่าวนี้อาจไม่ได้หมายถึงอาหารเสมอไป แต่ยังหมายถึงการเสพสื่อได้ด้วย ฉะนั้นต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าสมองของเราจะจดจำในสิ่งที่เราได้ดู ได้ฟังในแต่ละวัน หากเสพแต่เนื้อหาไร้แก่นสาร สมองของเราก็คงแห้งเห.ี่ยว แต่ถ้าเราเลือกเสพเนื้อหาคุณภาพบ้าง สมองของเราก็จะได้รับสิ่งดี ๆ มากขึ้น และยังส่งผลให้ชีวิตโดยรวมของเรามีความสุขเพิ่มขึ้นอีกด้วย
เขียนโดย : ทีมงาน AFTERKLASS