ฮัลโลลล สวัสดีน้องๆ ชาวแคมป์ฮับทุกคนจร้าา กลับมาเจอกันอีกแล้วกับ “พี่เหมี่ยว” น้องๆ ยังจำได้มั้ยที่พี่บอกว่าให้ติดตามกันให้ดีๆ เพราะว่า “แคมป์ไอดอล” EP. นี้ มี “เดือนแพทย์” มาฝากกก แต่แดนน~ คนนั้นก็คือ “พี่นัต” นักศึกษาแพทย์ ศิริราชพยาบาล นั่นเองง
แล้ววันนี้เราจะมาล้วงเคล็ดลับความหล่อ เอ้ย!! เคล็ดลับความเก่งว่า “พี่นัต” เตรียมตัวยังไง มีไลฟ์สไตล์อะไร ถึงติดหมอ ศิริราชได้ ถ้าน้องๆ พร้อมแล้ว ก็ไปดูกันเลยย
แนะนำตัวให้น้องๆ ชาวแคมป์ฮับรู้จักหน่อยค่าา
สวัสดีครับน้องๆ พี่ชื่อ จิรายุ พักตร์ฉวี หรือเรียกว่าพี่นัตก็ได้นะ พี่จบม.ปลาย มาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ตอนนี้พี่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยเอ่ย ว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้ “อยากเป็นหมอ” คืออะไร
ตอนนั้นพี่อยู่ ม.5 พี่ไปเล่นบาสกับเพื่อนแล้วลูกบาสเด้งเข้าไปในห้องเก็บเครื่องมือทำความสะอาดของแม่บ้าน พี่ก็วิ่งไปเก็บ แล้วไม่ทันสังเกตุว่ามันเป็นพื้นต่างระดับเลยสะดุดล้ม แล้วดันมีด้ามไม้ม๊อบหรือไม้กวาดสักอย่างมันยื่นออกมา พี่เลยถูกด้ามมันเกี่ยวตา ทีแรกพี่ก็คิดว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็เลยลุกขึ้น เก็บลูกบาสแล้วก็กลับมาเล่นต่อ
ทีนี้พี่ก็รู้สึกว่าทำไมตาซ้ายเหมือนมันเบลอๆ แบบเห็นภาพได้ไม่เต็มที่ เลยไปส่องกระจก เห็นเลือดซึมออกมา แล้วก็เปลือกตาซ้ายมันเปิดแค่ครึ่งเดียว ตอนนั้นจำได้เลยว่าพี่ตกใจมาก รีบไปห้องพยาบาล อาจารย์ที่ห้องพยาบาลก็ปิดตาพี่แล้วพาส่งโรงพยาบาล ตั้งแต่ช่วงที่พี่ถูกปิดตาจนถึงเจอหมอประมาณชั่วโมงนึงได้ พี่รู้สึกว่าเป็นเวลาที่นานเอามากๆ ตอนนั้นในหัวพี่คิดฟุ้งซ่านไปหมด ตาจะบอดมั้ย จะกลับไปมองเห็นได้เหมือนเดิมหรือเปล่า แล้วต้องผ่าตัดมั้ย ถ้าผ่าจะเจ็บหรือเปล่า ค่ารักษาเท่าไร คิดไปต่างๆ นาๆ วนไปวนมา
จนพี่ได้เจอหมอ หมอก็เปิดตาแล้วก็ตรวจจนสรุปได้ว่ากระจกตาพี่เป็นรอยแล้วก็มีแผลยาวที่เปลือกตา โชคดีที่ไม่โดนท่อน้ำตา เฉียดไปนิดเดียว หมอก็เลยนัดเย็บเปลือกตาให้ช่วงเย็นๆ ของวันนั้นเลย สิ่งหนึ่งที่พี่รู้สึกได้ คือไม่น่าเชื่อว่าแค่การที่พี่ได้เข้าไปเจอหมอแค่ประมาณ 5 นาที ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รักษาด้วยซ้ำ พี่รู้สึกสบายใจขึ้นมากๆ ความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างที่คิดมาตลอดก็หายไป ไม่น่าเชื่อว่าก่อนเดินเข้าห้องตรวจกับอีก 5 นาทีถัดมา หลังเดินออกจากห้องตรวจ ความรู้สึกพี่จะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ รู้สึกว่าหมอแบบสุดยอดมากๆ นี่เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่พี่ประทับใจและจุดประกายให้พี่สนใจในอาชีพนี้
โหเป็นจุดเริ่มต้นที่หวาดเสียวมากๆ แล้วพอได้เข้ามาเรียนแล้วต้องปรับตัวเยอะมั้ย
ถ้ามองย้อนกลับไปเทียบกับ ม.ปลาย เรียกได้ว่าปรับตัวเยอะมากกก (หัวเราะ) เรื่องเบสิคสุดเลยก็เรื่องสังคมที่อาจารย์จะเขี้ยวเข็นเราน้อยลง ไม่มีการมาตามจี้ให้ส่งการบ้าน ตรวจสมุดบันทึกความดี เราต้องรับผิดชอบตัวเอง มีความเป็นผู้ใหญ่ มีอิสระมากขึ้น ต้องคิดเอง วางแผนชีวิตเอง หรืออย่างเรื่องของการเรียนที่เราก็ต้องขวนขวายเองมากขึ้น ต้องจดเลคเชอร์เอง ไม่ได้มีใบงานสำเร็จรูปหรือชีทแจกให้ตลอด ต้องหาหนังสือ เสิร์ชอินเทอร์เน็ต หาเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง หรือคำตอบในจุดที่ไม่เข้าใจเอง และต้องขวนขวายไปถามอาจารย์ ไม่มีอาจารย์มาป้อนให้มากเหมือนตอนมัธยม
อยากรู้ว่าหมอเรียนหนักสมคำล่ำลือจริงหรือเปล่า
ต้องบอกเลยว่า พี่เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนต้องเคยได้ยินแหละว่าหมอเรียนหนัก แต่พี่ขอสารภาพเลยว่าพี่เป็นคนนึงที่ไม่เชื่อว่ามันหนัก พี่คิดว่าแค่เรียนเยอะแหละ แต่คงไม่ได้หนักอะไรขนาดนั้นอย่างที่เขาพูดๆ กัน … จนพี่มาเจอด้วยตัวเอง ต้องบอกเลยว่าพี่รู้สึกว่าไม่ใช่แค่เรียนหนักธรรมดานะ แต่มันหนักมากกกกก ลองคิดง่ายๆ ก็ได้ว่า จากเด็ก ม.ปลายคนนึง การเรียน 6 ปีนี้ จะทำให้น้องออกไปรับผิดชอบชีวิตคนได้ น้องจะต้องถูกบ่มเพาะ ต้องเรียนรู้มากขนาดไหน แต่ก็อย่าเพิ่งกลัวไปนะ ถ้าน้องสอบติด และมีความตั้งใจอยากจะเป็นหมอ น้องจะผ่านมันไปได้แน่นอน
จากเด็ก ม.ปลายคนนึง การเรียน 6 ปีนี้ จะทำให้น้องออกไปรับผิดชอบชีวิตคนได้
เรียนหนักอย่างนี้แล้วมีเวลาทำกิจกรรมหรอ
มีนะ ถึงแม้พี่จะบอกว่าเรียนหนักมากกกกก แต่ว่าก็ไม่ได้ถึงกับว่าไม่มีเวลาเลย พี่ก็ยังมีเวลามาออกกำลังกาย ทำกิจกรรม เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวกับเพื่อนอยู่ มันขึ้นกับเราบริหารเวลาเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเวลาว่างก็อาจจะไม่ได้มากเหมือนตอนที่เราเรียนม.ปลายนะ แต่มีเวลาแน่นอน
เคยเป็นพี่ค่ายมาก่อนด้วยใช่มั้ยคะ
พี่เคยเป็นพี่ค่าย ของ “ค่ายเส้นทางสู่หมอศิริราช” ตอนนั้นเป็นพี่กลุ่ม ก็สนุกดีนะได้รู้จักน้องๆ ม.ปลาย เล่นกิจกรรม เป็นที่ปรึกษา ให้กำลังใจ เหมือนเราก็เคยผ่านจุดๆ นั้นมาก่อน เราก็เข้าใจเขาเลยอยากจะช่วยแนะนำน้องๆ
แล้วอย่างนี้ตอนม.ปลายเคยเป็นน้องค่ายมาก่อนมั้ย
เรียกได้ว่าพี่เคยอยากจะเป็นน้องค่ายนะ ตอนนั้นก็สมัครค่ายเส้นทางสู่หมอศิริราชนี่แหละ สมัครมา 2 ปี แต่สุดท้ายก็ไม่ผ่านการคัดเลือก อ้อ จริงๆ ยังมีของคณะอื่นอีกนะ แต่ก็ไม่ได้เหมือนกัน สรุปเลยไม่เคยเป็นน้องค่ายเลย
ตอนที่ไม่ติดค่ายท้อมั้ย แล้วอะไรที่ทำให้ยังสู้ต่อ
รอบแรกยังไม่ท้อเท่าไรนะ เพราะก็แบบคำถามมันยากด้วย แล้วตอนนั้นก็ ม.4 เอง ก็คิดว่าให้พี่ๆ เขาเข้ากันก่อน แต่พอรอบสองก็มีท้ออยู่ เพราะว่า ปีที่แล้วเราก็เคยสมัครแล้วก็ไม่ได้มาแล้ว ตอนนี้ก็ม.5 แล้ว ซึ่งก็ใกล้สอบพอสมควรด้วย เลยตั้งความหวังไว้สูง ตั้งใจว่าอยากจะเข้ามาสัมผัสจะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจตอนเลือกคณะแล้วก็มหาวิทยาลัย ตอน ม.6 ตอนนั้นก็เลยคิดว่า อะ ไม่ได้เข้าค่ายไม่เป็นไร เลยไปอ่านตามเว็บไซต์ที่พี่ๆ มาแนะแนว แนะนำ แล้วก็ถามจากรุ่นพี่ที่เรารู้จักที่เขากำลังเรียนอยู่โดยตรงด้วย ก็พยายามหาข้อมูลด้วยวิธีอื่นๆ แทน แล้วก็คิดให้กำลังใจตัวเองว่า ไม่ติดค่ายไม่เป็นไร เดี๋ยวจะสอบให้ติดให้ดูประมาณนี้ หึกเหิมมากตอนนั้น (หัวเราะ)
ก็คิดให้กำลังใจตัวเองว่า ไม่ติดค่ายไม่เป็นไร เดี๋ยวจะสอบให้ติดให้ดู
อยากให้ฝากกำลังใจถึงน้องๆ ที่ตอนนี้ไม่ติดค่ายแล้วกำลังท้อใจอยู่หน่อยย
สู้ๆ นะน้องๆ จริงๆ มันมีหลายวิธีที่ช่วยให้เราค้นพบตัวเองได้นอกจากการเข้าค่าย ง่ายสุดเลยก็ลองพยายามสังเกตตัวเองมากๆ ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าตัวเราชอบอะไร หรืออยู่กับอะไรแล้วมีความสุข หรือบางทีลองถามพ่อแม่เพื่อนหรือคนรอบข้างดูที่เค้าใกล้ชิดกับเราให้เค้าช่วยบอกให้ก็ไม่เลวนะ หรือจะลองเข้าไปอ่านรีวิวแต่ละคณะ (ไม่ใช่รีวิวของกินนะ) อ่านสัมภาษณ์ประสบการณ์เรียนในแต่ละคณะจากพี่ๆ เหมือนอย่างในเว็บของแคมป์ฮับอะไรงี้ มีหลายวิธีมากๆ แล้วก็ที่สำคัญการที่เราไม่ติดค่าย ไม่ได้แปลว่าเราจะเข้าเรียนในคณะนั้นไม่ได้นะ อย่าเผลอเอาไปปนกันแล้วบั่นทอนกำลังใจในการเตรียมตัวสอบหละ สู้ๆ น้องๆ พี่เป็นกำลังใจให้
การที่เราไม่ติดค่าย ไม่ได้แปลว่าเราจะเข้าเรียนในคณะนั้นไม่ได้นะ สู้ๆ พี่เป็นกำลังใจให้
นอกจากเป็นพี่ค่ายแล้วยังทำกิจกรรมอื่นอีกมั้ย
ถ้าเป็นกีฬา พี่เป็นตัวแทนนักกีฬาเทนนิสไปแข่งกีฬาเข็มสัมพันธ์ของคณะ ไปแข่งกับนักศึกษาแพทย์ของมหาลัยอื่นทั่วประเทศ ถ้าเป็นกิจกรรมของคณะ พี่ก็เป็นเดือนคณะ (หัวเราะ) แล้วก็เคยเป็นเหรัญญิกชั้นปี กับเป็นประธานงาน Siriraj Book Fair ด้วยประมาณนี้
รู้สึกยังไงที่ถูกเลือกเป็นเดือนคณะ
ความรู้สึกมันปนๆ กันนิดนึง คือ ตอนแรกก็ดีใจนะ เพื่อนก็อุตส่าห์โหวตเราขึ้นมา แล้วก็ตัวเองอยากจะลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำดูด้วย แต่ซักพักก็มาคิดได้ว่าก็กดดันอยู่เหมือนกันแหะ เพราะแบบเพื่อนคณะอื่นหลายคนจะรู้จักเราในชื่อ “เดือนศิริราช” ก่อนจะรู้จักชื่อกันจริงๆ ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ถ้าเราทำอะไรที่แบบมันไม่ดี ซึ่งบางทีเราก็ไม่ได้ตั้งใจหรือไม่รู้ด้วย ทีนี้ก็กลัวว่าเขาจะมองไม่ดีถึงคณะเราด้วยหรือเปล่า ก็กังวลอยู่เหมือนกัน
ได้ยินมาว่าเป็นประธานเขียนหนังสือด้วย เป็นมายังไงถึงไปเขียนหนังสือได้คะ
ตอนนั้นพี่จบ ม.6 กำลังรอขึ้นปี 1 ปิดเทอมประมาณ 6 เดือน ซึ่งพี่รู้สึกว่ามันว่างเกินไป (หัวเราะ) ประกอบกับตอนนั้นเสียดายโจทย์ดีๆ ที่เคยฝึกทำช่วงเตรียมสอบ 7 วิชาสามัญฯ (9 วิชาสามัญฯ ในปัจจุบัน) กับ PAT 2 พี่กับเพื่อนที่อยู่ในค่ายโอลิมปิกวิชาการ บางคนก็ได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ เลยคิดโปรเจกต์ทำหนังสือ ที่รวมโจทย์ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ที่เป็นโจทย์ดีๆ แล้วเอามาเฉลย เขียนตามความเข้าใจ บอกจุดที่ควรระวัง บอกเทคนิคจากประสบการณ์ที่เพิ่งสอบไปกัน
ถ้าน้องๆ สนใจจะไปหาซื้อได้จากที่ไหนบ้างคะ (ช่วงขายของงง)
ตอนนี้มีขายอยู่ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ทั่วประเทศเลยนะ หรือจะสั่งซื้ออนไลน์ผ่านทางเว็บของศูนย์หนังสือจุฬาฯ ก็ได้ หนังสือชื่อว่า “หนังสือรวมโจทย์วิทยาศาสตร์ ม.ปลาย ที่น่าสนใจ NEWCLEAR” มีตัวอย่างหนังสือที่เพจในเฟซบุ๊คด้วย ลองเอาชื่อหนังสือไปเสิร์ชดูได้นะ ตั้งใจขายซะเต็มที่ (หัวเราะ)
ไม่ต้องไปเสิร์ชดูแล้ว มีให้ดูที่นี่เลยจร้าา คลิกเลย >> NewClear หนังสือรวมโจทย์วิทยาศาสตร์ ม.ปลาย
เรียนก็หนักกิจกรรมก็ทำเคยรู้สึกเหนื่อย หรือท้อบ้างมั้ย
ตอนแรกๆ พี่ก็ท้อบ้างนะ แต่เหนื่อยนี่ตลอด (หัวเราะ) อย่างที่คำถามบอกเลย เรียนก็หนัก (มากกกก) กิจกรรมก็ทำ โดยเฉพาะตอนขึ้นมาอยู่ปีสอง ที่ต้องเรียนเนื้อหาที่เกี่ยวกับหมออย่างเต็มตัว ซึ่งมันเยอะมากๆ เมื่อเทียบกับปี 1 และมหาศาลมากๆ เมื่อเทียบกับ ม.ปลาย ต้องปรับตัวเยอะมากๆ ไหนจะกิจกรรมอีก แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้นะ อย่างที่พี่บอกว่าต้องค่อยๆ ปรับตัว เราท้อได้ เหนื่อยได้ หมดกำลังใจได้ พี่ถือคติว่าถ้าเหนื่อยก็พัก มีแรงแล้วก็กลับมาลุยใหม่ ไม่ใช่หยุดนะ 55 สุดท้ายเราก็จะเก่งขึ้น คุ้นเคยกลับมันมากขึ้น พอปรับตัวได้ก็จะรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องปกติ สุดท้ายก็จะผ่านไปได้เองแหละ
พี่ถือคติว่าถ้าเหนื่อยก็พัก มีแรงแล้วก็กลับมาลุยใหม่
แล้วมีวิธีจัดการกับเวลายังไงบ้างคะ
พี่จะจัดลำดับความสำคัญกับความเร่งด่วนก่อน อันไหนสำคัญและเร่งด่วน ก็รีบทำก่อนเลย อันไหนสำคัญแต่ยังไม่เร่งด่วนมาก มีเวลาก็ทยอยๆ เคลียร์ไปเรื่อยๆ อันไหนไม่ค่อยสำคัญ แต่ต้องทำ ก็อาจจะเอาไว้ท้ายๆ หน่อย แล้วก็จะมีส่วนที่เผื่อเวลาเอาไว้รีแลกซ์ คลายเครียดด้วย อาจจะแทรกเข้าไปเป็นพักๆ ก็ช่วยให้เราไม่ตึงเกินไป พร้อมลุยต่อดีนะ
แล้วช่วงเวลาผ่อนคลายปกติมีไลฟ์สไตล์ยังไงบ้าง
ถ้าแบบพักช่วงสั้นๆ จะชอบเล่นโทรศัพท์ ฟังเพลง แล้วก็หยิบหนังสืออ่านนอกเวลามาอ่าน สลับๆ กันไป แต่ถ้าพักยาวหน่อย จะชอบไปออกกำลังกาย หรือบางครั้งก็หาหนังมาดูบ้างแต่ถ้าบางครั้งเหนื่อยๆ เพลียๆ ก็จะแอบงีบนะ รู้สึกว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดแล้ว (หัวเราะ)
มาถ่ายแบบกับแคมป์ฮับวันนี้รู้สึกยังไงบ้างเอ่ย
ก่อนอื่นเลย รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะ นานๆ ทีจะมีคนมาถ่ายรูปให้ มาสัมภาษณ์อะไรจริงจังแบบนี้ (หัวเราะ) แต่ลึกๆ รู้สึกดีใจนะที่ได้แชร์ประสบการณ์ให้กับน้องๆ รู้สึกว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับน้องๆ บ้าง (ไม่มากก็น้อยโนะ (หัวเราะ)) ก็ขอบคุณทางแคมป์ฮับมากนะครับ
ยินดีค่าา สุดท้ายแล้วอยากให้ฝากถึงน้องๆ ที่อยากเข้าแพทย์ที่ศิริราชหน่อย
พี่ก็อยากจะให้น้องๆ เปลี่ยนความอยากที่ว่า มาเป็นแรงขับเคลื่อน ผลักดันตัวเองให้ตั้งใจเรียน ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ฝึกทำโจทย์ น้องอาจจะคิดว่ามันก็ทั่วๆ ไปใครๆ เขาก็พูดกัน แต่มันก็จริงอย่างที่ใครๆ เขาพูดกันนะครับ คนที่สอบติดเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น น้องอาจจะมีช่วงที่เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง ซึ่งทุกคนต้องเคยผ่านจุดนี้กันทั้งนั้น เป็นเรื่องปกติ ขอให้น้องอย่ายอมแพ้นะ อาจจะมีพักบ้าง แต่พอพร้อมแล้ว อย่าลืมกลับมาสู้ต่อ ลองจินตนาการถึงวันที่ประกาศผลแล้วเห็นชื่อเราดูนะ พี่ว่าเวลาท้อๆ ทำแบบนี้แล้วมันช่วยให้กลับมามีกำลังใจขึ้นเยอะเลย แล้วพี่ก็ขอเป็นหนึ่งเสียงที่ยืนยันว่าสิ่งที่น้องทำอยู่ในตอนนี้ มันคุ้มเกินคุ้มกับการที่น้องจะได้เรียนในคณะที่น้องอยากเรียน ได้ไปทำในอาชีพที่น้องอยากทำ เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่เลยนะ วันนึงข้างหน้า พอน้องมองย้อนกลับมา น้องจะรู้สึกขอบคุณตัวเองที่วันนั้นเราตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่ เชื่อพี่ สู้ๆนะน้องๆ (ที่กำลังจะกลายมาเป็นรุ่นน้องของพี่)
น้องจะรู้สึกขอบคุณตัวเองที่วันนั้นเราตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่
เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย~ กับ “แคมป์ไอดอล” ที่ “พี่เหมี่ยว” นำมาฝากกันใน EP. นี้ พี่เชื่อว่าน้องๆ ต้องได้ทั้งข้อคิด วิธีการ รวมถึงแนวทางในการจัดการกับความฝันของตัวเองแน่นอน และสิ่งที่พี่อยากจะบอกกับน้องๆ ต่อจากที่ “พี่นัต” ได้ฝากไว้ เพราะมีน้องๆ หลายคนที่ท้อใจเวลาสมัครค่ายไปแล้วไม่ติด พี่ไม่อยากให้น้องๆ ท้อแท้ ดูอย่าง “พี่นัต” เป็นตัวอย่างว่า ถึงแม้ไม่ได้ค่ายนี้ ค่ายหน้าก็ยังมี หรือไม่ติดค่ายเลยก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเข้าคณะนั้นไม่ได้ “ค่าย” เป็นเพียงประตูบานนึงที่ทำให้เรารู้ว่าเราชอบอะไร แต่สิ่งที่จะทำให้ถึงเส้นชัยก็คือตัวของน้องๆ เอง สู้ๆ พี่ขอเป็นกำลังใจให้อีกคน ไฟท์ติ้งง
และอย่าลืมติดตาม “แคมป์ไอดอล” ไว้ให้ดีๆ EP. หน้ามีเซอร์ไพรส์แน่นอน!! สำหรับ EP. นี้พี่ก็ขอตัวลาไปก่อน บัยบายยย แต่ขอย้ำอีกที ว่า EP.หน้า มีเซอร์ไพรส์แน่นอน!!
แคมป์ไอดอล : จิรายุ พักตร์ฉวี (พี่นัต)
สัมภาษณ์ : พี่เหมี่ยว แคมป์ฮับ
ตากล้อง : พี่โบ๊ช แคมป์ฮับ
กราฟิก : พี่อัยย์ แคมป์ฮับ