ALL ABOUT P’PHUWIN
- พี่ภูวินทร์สอบเทียบเข้าวิศวะ จุฬาฯ ภาคอินเตอร์ ทันทีที่เรียนจบชั้น ม.5 จึงทำให้เข้าเรียนมหาลัยได้เร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน
- เลือกเรียนด้านสารสนเทศและการสื่อสาร (ICE) เพราะหลงเสน่ห์กลไกคอมพิวเตอร์ ตอนเด็กชอบแกะคอมออกมาดูว่าอุปกรณ์ต่างๆ ทำงานอย่างไร
- นิสัยของ “เติร์ด” ในซีรีส์ The Gifted แตกต่างจากภูวินทร์ตัวจริงอย่างสิ้นเชิง ในจอเคร่งเครียด นอกจอเฮฮา
- ให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นอันดับ 1 เพราะเชื่อว่า “งานต่างๆ ถึงแม้เราทำ เราได้เงิน แต่เงินที่ได้ตรงนั้น มันไม่ได้อยู่ตลอดไป แต่ว่าสิ่งที่อยู่ตลอดไปคือความรู้ที่จะติดตัวเราไปจนวันตาย”
สวัสดีจ้าน้องๆ ทุกคน พบกับ CAMPHUB idol กันอีกครั้ง วันนี้พี่วอร์มขอพาน้องๆ มาทำความรู้จักกับ “พี่เติร์ด” เอ้ย.. “พี่ภูวินทร์” ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน รุ่นพี่จากวิศวะ จุฬาฯ และบทบาทที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะนักแสดงจากบ้าน GMMTV พี่ภูวินทร์มีวิธีการวางแผนชีวิตอย่างไรที่ทำให้งานก็รุ่ง เรียนก็รอด แถมสอบติดมหาลัยตั้งแต่อายุ 17 ขอชวนน้องๆ ทุกคนมาร่วมไขความลับของพี่ภูวินทร์ไปพร้อมๆ กันได้เลยจ้า
แนะนำตัวให้น้องๆ รู้จักกันหน่อย
สวัสดีครับน้องๆ และเพื่อนๆ พี่ๆ ชื่อภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน เรียนอยู่ปี 1 ที่วิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร ภาคอินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ
ชื่อจริงกับชื่อเล่นก็ชื่อ “ภูวินทร์” เดียวกันเลยใช่มั้ย?
ใช่ฮะ บางทีคนก็จะถามว่ามีชื่อเล่นให้เรียกมั้ย เราก็จะบอกว่าอยากเรียกอะไรก็ได้เลย จะภู จะวิน ก็ได้หมด แต่ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ก็ภูวินทร์แหละครับ 5555
ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง การเรียน การทำงาน
ก็ตอนนี้เป็นช่วงเปิดเทอม ส่วนมากผมเรียนเป็น Online Learning แล้วก็มีเรียนที่คณะวิชาที่ต้องใช้แล็บ ส่วนงานแสดงของปีนี้เริ่มซาแล้ว หลักๆ ก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับงานในปีหน้าอยู่ครับ
ตอนว่างๆ ภูวินทร์ชอบทำอะไร
คือต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนสุขนิยมนะฮะ ก็เลยมักจะทำอะไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุข กิจกรรมยามว่างของผมค่อนข้างเรียบง่าย อยู่กับเพื่อน เล่นเกม เล่นดนตรี 3 อย่างสลับกันไป เกมก็คือเล่นพวก Counter-Strike PUBG ส่วนดนตรี ผมเล่นเปียโนกับกีต้าร์ แต่กีตาร์นี่เล่นชิลล์ๆ เล่นกับเพื่อน ร้องกับเพื่อน ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่
สกิลพวกนี้มีส่วนช่วยในการแสดงบ้างมั้ย
มีนะพี่ ก็คือถ้าเรามีสกิลพวกนี้ติดตัว เวลามีงานอะไร เราก็จะหยิบมาใช้ได้เลยทันที มันทำให้เรามีต้นทุนมากกว่าคนอื่น
ปกติภูวินทร์มีคำพูดหรือประโยคอะไรเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตบ้างมั้ย
เอาจริง ๆ ผมเป็นคนขี้เกียจอะพี่ คำพูดที่ผมใช้เป็นแนวทางก็คือ “Minimum energy, Maximum productivity” (ใช้พลังงานให้น้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มากที่สุด) คือมันมีคำพูดนึงของบิล เกตส์ ที่บอกว่า ถ้ามีงานยากๆ ก็ให้คนขี้เกียจไปทำ เพราะเขาจะหาวิธีทำที่ง่ายที่สุด แต่ถึงขี้เกียจยังไงก็ต้องรู้ตัวเอง ต้องรู้ขีดจำกัดตัวเองว่าทำได้หรือทำไม่ได้
Minimum energy, Maximum productivity ใช้พลังงานให้น้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มากที่สุด
ชีวิตที่ผ่านมา 17 ปี ภูวินทร์มีผลงานอะไรมาแล้วบ้าง
ที่คนน่าจะรู้จักหน่อยก็มี My Bubble Tea มี อาตี๋ของผม และที่เข้มข้นสุดๆ ตอนนี้ ก็คือ The Gifted: Graduation กำลังออนแอร์อยู่ตอนนี้เลย ทุกวันอาทิตย์ สองทุ่มครึ่ง ช่อง GMM25 และรีรันที่ LINE TV สี่ทุ่มครึ่งนะครับ ขอขายของหน่อย 5555 ส่วนละครเวทีก็เคยได้มีโอกาสไปเล่นอยู่เรื่องนึงครับ ในเรื่อง The Sound of music เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ภูวินทร์เริ่มต้นเข้าวงการได้ยังไง
ตั้งแต่อายุประมาณ 11 เราก็เริ่มไปแคสโฆษณา เราติดใจ ชอบ อยากทำต่อ ก็เลยพยายามถีบตัวเองเข้ามาในวงการเรื่อยๆ แต่ GMMTV อะ คือเราเคยไปแคส 2-3 รอบ แต่ก็ยังไม่ได้ซักที ท้อแล้ว ไม่อยากมาแล้ว จนพ่อบอกว่าเออ ลองเหอะ ไม่มีใครบอกอนาคตได้ ถึงไปแล้วแคสไม่ผ่าน ก็เสียเวลาแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง มันก็ไม่เป็นไร แต่ที่ตลกมากๆ คือสุดท้ายครั้งนี้ได้เฉยเลย งงมาก ทั้งที่จริงๆ ผมหมดกำลังใจไปแล้ว
ลองเหอะ ไม่มีใครบอกอนาคตได้ ถึงไปแล้วแคสไม่ผ่าน ก็เสียเวลาแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง มันก็ไม่เป็นไร
แสดงว่าพ่อแม่เองก็มีส่วนสำคัญ?
ใช่ครับ คือพ่อแม่จะซับพอร์ตความคิดผมตลอด เขาจะบอกว่า ชอบอะไรก็ทำ ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ เอาที่ตัวเองมีความสุข แต่ก็ต้องเลี้ยงชีพตัวเองได้
ตั้งแต่เป็นนักแสดง ชอบผลงานไหนของตัวเองมากที่สุด
มี 2 ชิ้นที่ชอบมากๆ ก็คือละครเวที The Sound of music กับซีรีส์ The Gifted: Graduation
The Sound of music คือชอบเพราะมันมีความยูนีค มันเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่ Once in a life time เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีประสบการณ์นี้ ได้อยู่หลังเวที ได้ซ้อม ได้มีเพื่อนๆ ตรงนั้น ทำงานกันเกือบปี คือเรารู้สึกประทับใจมากๆ เป็นโมเมนต์ที่อยู่ในใจเราเสมอมา
ส่วน The Gifted: Graduation คือผมชอบเนื้อเรื่องมากๆ เราเป็นแฟนซีรีส์ตั้งแต่ซีซั่น 1 แล้ว ยิ่งพอได้โอกาสมาเล่นในซีซัน 2 เราก็ดีใจมาก ตอนอยู่ในกอง ถึงแม้บรรยากาศจะตึงเครียดบ้าง แต่เราก็รู้สึกว่างานออกมาดี ทุกอย่างมีหลักการ มีเหตุและผล เนื้อเรื่องมันซับซ้อน มีหลายชั้น หลายมุม ไม่ว่าจะเป็นมุมมองของเด็กนักเรียน หรือมุมมองของผู้ใหญ่ เออ ผมเลยชอบบทและทีมงานของเรื่องนี้มาก
ในเรื่อง The Gifted: Graduation ภูวินทร์เล่นเป็นตัวละครชื่อเติร์ด ตัวละครนี้มีความคล้ายคลึงกับเรามั้ย
จริงๆ แล้วอะ เติร์ดกับตัวผมคือต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย อย่างที่บอก ผมเป็นคนสุขนิยม ผมจะทำอะไรที่มีความสุข แต่เติร์ดเนี่ย จะเป็นคนเครียดฮะ เขาชอบที่จะจับผิดคนอื่น เขาพยายามจะพิสูจน์ให้ตัวเองและคนอื่นเห็นตลอดว่า เราเหนือกว่า เราเก่งกว่า เราอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ ซึ่งมันก็ต่างกับผมที่เป็นเฮฮา อยู่กับเพื่อน
ในเมื่อบทมันต่างกับตัวภูวินทร์มากๆ แล้วทีนี้เราทำยังไง
วิธีการของผมคือ พยายามไปอยู่ในมายด์เซตของเขา ก็คือลองจินตนาการว่าถ้าเราเป็นเติร์ด แล้วมีคนรอบข้างมาทำอะไรเรา เราจะรู้สึกยังไง เช่น ถ้าผมมาคุยกับพี่ใช่มะ ผมก็อาจจะชิลๆ ไม่คิดอะไร แต่ว่าถ้าเป็นตัวเติร์ดมาคุยกับพี่ก็อาจจะนั่งนิ่งๆ อาจจะคอยมองทุกคน คอยดูว่าเกิดอะไรขึ้นรอบข้าง จะทำยังไงให้คนรอบข้างมีผลประโยชน์กับตัวเอง อะไรประมาณนี้
ถ้าชีวิตจริงเลือกพลังพิเศษแบบในซีรีส์ได้อย่างนึงจะเลือกพลังอะไร
ถ้าเป็นผมนะ ผมจะเลือกพลังของก็อปปี้ของ “พี่กัน อรรถพันธ์” คือเหมือนว่าถ้าเขามองเห็นใครทำอะไร เขาก็จะก็อปปี้ความสามารถนั้นได้ทันทีเลย ทีนี้พอเราอยากทำอะไร เราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการฝึกซ้อม
ซึ่งพลังนี้ตอบโจทย์ Minimum energy, Maximum productivity ด้วยอะเนอะ
ใช่เลยพี่ จริงสุด 5555
ถามถึงเรื่องเรียนกันบ้าง ทำไมภูวินทร์ถึงตัดสินใจพาร์ทชั้น แล้วเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 17
ตอนแรกก็เสียดายนะพี่ที่จะไม่ได้อยู่กับเพื่อน แต่พอมาคิดดูดีๆ การสอบเทียบก็ทำให้เราได้เซฟเวลากับเซฟเงิน เราประหยัดเวลาไปได้เลย 1 ปี ผมก็เลยตัดสินใจสอบเทียบ
แล้วทำไมถึงเลือกเรียนวิศวะ ไม่เลือกเรียนนิเทศ ในเมื่อเราเองก็เป็นนักแสดงมาก่อน
คือนิเทศเนี่ย ผมคิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับตัวเองเท่าไหร่ คือเวลาผมทำอะไรซักอย่าง ผมมักจะคิดแบบเป็นขั้นเป็นตอน คือทำได้หรือไม่ได้ว่ากันอีกที แต่เราต้องมีแผนก่อนว่าจะทำแบบนี้ๆ ผมเลยคิดว่าวิศวะเหมาะกับผมมากกว่า แล้วอีกอย่างนึงคือ สำหรับผม ผมรักการแสดง ใช่ผมชอบ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าอาชีพนี้ไม่ได้มั่นคงขนาดนั้น ก็เลยคิดว่าตัวเองก็ต้องหาอาชีพที่มั่นคงสำรองไว้ ถึงแม้ไม่เป็นนักแสดงก็จะได้เปลี่ยนสายได้
ได้ข่าวว่าพี่ภูวินทร์เคยไปเข้าค่าย One Day Visit ของคณะนิเทศ จุฬาฯ ด้วย?
ตอนนั้นคือเพื่อนชวนไป เราก็เออ ลองก็ได้ว่าจะเป็นยังไง ใจจริงคือตอนนั้นเราสนใจแค่วิศวะก็เลยลังเล เอ๊ะไปดีมั้ย แต่เพื่อนกับคนรอบข้างก็บอกว่าเออ ลองไปดู เผื่อจะได้แนวคิดใหม่ๆ อาจจะชอบก็ได้ ซึ่งพอไปแล้วก็ประทับใจมากกับการได้เห็นว่าคณะอื่นเป็นยังไง เพราะเดิมทีเราฟิกไอเดียแค่วิศวะจนไม่ได้มองคณะอื่นเลย
น้องๆ สามารถติดตามประสบการณ์ของพี่ภูวินทร์ (และพี่วอร์มตั้งแต่ยังเป็นพี่ค่าย ก่อนจะมาเป็นพี่วอร์ม แคมป์ฮับ) ในค่าย One Day Visit 62 ได้ที่นี่เลย!!
นอกจากวิศวะ เรามีคณะอื่นในใจบ้างมั้ย
เคยลังเลบัญชีบริหาร แต่เราเองก็ชอบวิศวะมากกว่านั่นแหละ คือเอาจริงๆ วิศวะมันต้องสอบ 5 วิชา บัญชีอะสอบแค่ 2 วิชาเอง เราก็เลยมีเทใจมาฝั่งบัญชีนิดๆ ตอนนั้นเครียดมาก ก็เลยลองคุยกับพ่อ พ่อก็บอกว่าไม่เป็นไร ลองสอบไปให้หมดก่อน เพราะถ้าเราสอบให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เราก็จะมีตัวเลือกมากขึ้น ที่สำคัญ ณ ตอนนั้น เรายังไม่สอบเลย ยังไม่รู้เลยว่าจะติดหรือไม่ติด แต่สิ่งที่ทำได้คือเพิ่มทางเลือกให้ตัวเองมีโอกาสให้มากที่สุด ซึ่งโอเค มันอาจจะไม่ Minimum Energy เท่าไหร่ แต่ผมก็เข้าใจว่ามันเป็นการตัดสินใจที่เมคเซนท์ พ่อเขาก็คงรู้ว่าลึกๆ แล้วผมชอบวิศวะมากกว่า
เราสอบเข้าด้วยคะแนนอะไรบ้าง
ก็มี IELTS, SAT MATH 2 ตัว แล้วก็ SAT ฟิสิกส์กับเคมี รวมเป็น 5 วิชาครับ
วิศวะอินเตอร์ของจุฬามีกี่สาขา
ที่นี่มีสาขาให้เลือก 5 สาขาครับ ก็มี วิศวกรรมนาโน (NANO), วิศวกรรมการออกแบบและการผลิตยานยนต์ (ADME), วิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร (ICE), วิศวกรรมอากาศยาน (AERO) และสาขาน้องใหม่ล่าสุด วิศวกรรมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (ROBOT AI)
ทำไมภูวินทร์ถึงเลือก วิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร (ICE)
คือผมอะ เป็นคนชอบอะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผมชอบการประกอบคอม การแกะคอมออกมาดู ผมชอบกลไกต่างๆ หลงเสน่ห์สิ่งพวกนี้เพราะมันเป็นอะไรที่ไร้ขีดจำกัด ถึงแม้เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ส่วนมากจะมาเป็นแพกเกจสำเร็จรูป แต่อีกด้านนึงก็ยังมีอุปกรณ์พวก DIY (Do iy yourself) ที่ต้องมานั่งศึกษาข้อมูลกับเรียนเองว่าอันนี้น่าจะเข้ากับอันนี้ได้ ทำยังไงให้ราคากับความคุ้มค่ามันน้อยและมากที่สุด ก็คือผมชอบต่อตัวต่อพวกเลโก้ตั้งแต่เด็กด้วยแหละ สิ่งนี้อาจหล่อหลอมให้ผมชอบชิ้นส่วนเทคโนโลยีต่างๆ จนเลือกเรียน ICE ในวันนี้
ซึ่งตอนนี้ก็มาเรียนที่จุฬาได้เกือบเทอมแล้ว เป็นยังไงบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย
คือด้วยสถานการณ์โควิด ทำให้ปีนี้ส่วนใหญ่ก็ต้องเรียนออนไลน์ หรือวิชาแล็บที่ต้องมาเรียนที่คณะก็ต้องนั่งห่างๆ กัน ก็แบบโต๊ะเว้นโต๊ะ ใส่แมสก์ ตอนเจอเพื่อนคือยากมาก ไม่มีใครรู้จักใคร ไม่มีรับน้อง เจอกันวันแรกที่ห้องเรียนคือ เอ๊ะ เราจะเข้ากับใครได้ แต่พออยู่มาเรื่อยๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ เพราะหลังเรียนจบแต่ละคาบ ทุกคนก็จะแบบ “เราชื่อนี่นะ เราชื่อนี่ รู้จักกันไว้” ผมกับเพื่อนก็ค่อยๆ สร้างกลุ่มกันจากตรงนั้น ซึ่งสำหรับผมสิ่งนี้เป็นประสบการณ์ใหม่ที่มีค่ามากๆ เราต้องใช้มันในการเข้าสังคมในอนาคต เพราะตอนโต มันจะไม่มีเกมหรือการรับน้องมาผลักดันให้เรารู้จักกับเพื่อน แต่เราต้องพึ่งตัวเองในการปฏิสัมพันธ์
แล้วเราชอบเรียนออนไลน์หรือเรียนที่คณะมากกว่ากัน
ชอบเรียนที่คณะแหละพี่ เรียนออนไลน์ ต่อให้สบายกว่า แต่เราต้องใช้สมาธิเยอะกว่ามาก ๆ เราอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมคนเดียว มันหลุดง่ายมาก ไม่มีคนคุม จะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า คืออย่างน้อยถ้าเราอยู่กับครู เรายังไม่กล้าไปทำนู่นทำนี่ ก็เลยน่าจะตั้งใจเรียนได้ดีกว่า
ยกตัวอย่างวิชาที่เรียนในคณะให้น้องๆ ฟังหน่อย
วิชานึงที่ผมชอบที่สุด ถึงผมจะไม่เก่ง แต่ก็คงเป็นแคลคูลัส เพราะว่าอาจารย์สอนดีจริงๆ ครับ ส่วนอีกวิชาหนึ่งที่ผมควรจะชอบ แต่ผมดันไม่ชอบคือ เอ่อ ฟิสิกส์ คือมันยากมาก เรียนเร็วมาก เรียนอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมง แล้วคาบนึงคือเรียนหนึ่งบทเต็มๆ ผมก็ไม่ค่อยไหว ตามไม่ทัน โอ้โห งงเลย
แสดงว่าปี 1 ของวิศวะ อินเตอร์ จุฬาฯ คือการสรุปเนื้อหาความรู้ม.ปลายรึเปล่า
ผมว่ามันคือการเอาความรู้ ม.ปลาย มาลงลึกไปอีก ก็คือ ม.ปลายอาจจะเรียนแค่ผิวๆ พวก F = ma แต่ปี 1 คือเอาแคล เอาอะไรต่างๆ เข้าไปผสม
แบบนี้ถ้าพื้นฐานม.ปลายไม่แน่น เราจะแย่รึเปล่า
มีผลครับ แต่ผมว่ามันไม่น่าห่วงขนาดนั้น สุดท้ายมันอยู่ที่ความขยันมากกว่า ถ้าเราขยันอ่านหนังสือ ขยันทำโจทย์ ก็ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ว่าถ้าพื้นฐานไม่ดี แล้วขี้เกียจด้วย ไม่อ่านหนังสือด้วย ก็อาจจะมีปัญหาได้
แล้วแบบนี้ภูวินทร์แบ่งเวลาเรียนกับเวลาทำงานยังไง
ผมว่าสิ่งแรกมันอยู่ที่วิธีคิดกับทัศนคติ คือผมจะคิดก่อนเลยว่า เราเป็นนักศึกษา เราเป็นนักเรียน ดังนั้นอะไรที่เกี่ยวกับการเรียนต้องมาก่อน การสอบต้องมาก่อน อ่านหนังสือต้องมาก่อน การใช้ชีวิตมหาลัยต้องมาก่อน เพราะว่าจริงๆ แล้ว เรายังไม่ได้อยู่ในวัยทำงาน เราก็ควรจะโฟกัสการเรียนให้ดี แล้วการแสดงที่เป็นอาชีพเสริมที่เราชอบค่อยเป็นสิ่งที่จะตามมาทีหลัง การเรียนต้องเป็นอันดับ 1 ถ้ามีสอบชนกับงานละคร เราก็ต้องเลือกสอบไว้ก่อน
เราคิดแบบนี้เองเลย หรือได้รับคำแนะนำจากใครรึเปล่า
เอาจริงๆ เมื่อก่อนผมให้มันสำคัญเท่ากับเลย ถ้ามีการแสดงกับสอบชนกัน ก็จะแบบเออ ไม่เป็นไร ไปถ่ายละครดีกว่า แต่ว่าพอได้มาคุยกับทางบ้าน พอได้คุยกับรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ในวงการ เราก็ได้เข้าใจว่า งานต่างๆ ถึงแม้เราทำ เราได้เงิน แต่เงินที่ได้ตรงนั้น มันไม่ได้อยู่ตลอดไป แต่ว่าสิ่งที่อยู่ตลอดไปคือความรู้ที่จะติดตัวเราไปจนวันตาย ซึ่งคำพูดนั้นทำให้ผมอุทานว่า “ว้าว” ในใจ โอเค มันโดนมาก งั้นความคิดนี้ เราเอามาใช้ดีกว่า
อยากรู้ว่ามีอะไรจากการเป็นนักแสดงที่สามารถเอามาปรับใช้กับชีวิตการเรียนได้บ้าง
คือมันมีบทนึงของการเรียนการแสดงที่เรียกว่า Objective ก็คืออย่างเวลาที่ตัวละครอยู่ในฉาก ตัวละครจะต้องมีเป้าหมายอย่างนึงในตอนนั้นๆ ซึ่งการฝึกสิ่งนี้มันช่วยผมในชีวิตจริงเยอะเหมือนกัน เหมือนเวลาทำอะไร เราก็ต้องไม่เสียโฟกัสไปจากเป้าหมาย เช่น เป้าหมายของผม สมมุตินะ อาจจะเป็นเกรด 4.00 อันนี้สมมุติเฉยๆ นะพี่ ผมทำไม่ได้นะ555 ก็คือถ้าเรามีโกลตรงนั้น ต่อให้มีอุปสรรค มีสิ่งต่างๆ มารบกวน แต่เราก็ห้ามลืมว่าเป้าหมายของตัวเองคืออะไร เราต้องทำให้ได้ ซึ่งบทเรียน Objective ก็ช่วยเราในจุดนี้
แชร์เทคนิคการอ่านหนังสือตามสไตล์ของภูวินทร์ให้ฟังหน่อย
ผมคิดว่าเราควรจะอ่านแต่เนิ่นๆ ค่อยๆ อ่าน ไม่ใช่ว่าไปยัด 2 อาทิตย์สุดท้าย (ซึ่งผมเคยทำมาแล้ว 5555) อย่างน้อยควรทำให้ได้วันละชั่วโมง ก็คือต้องแบ่งตารางว่าวันนี้อ่านอันนี้ วันนี้อ่านอันนี้ ถ้าวันไหนได้ 2 ชั่วโมงก็ดีเลย แต่อย่างน้อยบังคับตัวเองให้ได้ซักชั่วโมง อยู่กับเรื่องนั้นอย่างเดียว อาจจะเปิดเพลงฟังก็ได้ แต่คือผมตัดทุกอย่างทิ้ง ล็อกห้อง ตัดโลก อยู่กับหนังสืออย่างเดียว ค่อยๆ เก็บความรู้ไปเรื่อยๆ สะสมความรู้ไปเรื่อยๆ แต่ก็ต้องทำแบบฝึกหัดด้วย
เราควรจะอ่านแต่เนิ่นๆ ค่อยๆ อ่าน ไม่ใช่ว่าไปยัด 2 อาทิตย์สุดท้าย (ซึ่งผมเคยทำมาแล้ว 5555)
สำหรับภูวินทร์แล้ว ทำไมแบบฝึกหัดมีความสำคัญยังไง
คืออ่านอย่างเดียว เราจะได้ความรู้เข้าสมอง แต่ถ้าเราไปประยุกต์กับข้อสอบไม่ได้ เราก็ตายเหมือนกัน อย่างวิศวะ โดยธรรมชาติของโจทย์มันต้องประยุกต์อยู่แล้ว
เวลาเครียดหรือทำคะแนนไม่ได้ตามเป้า เรามีวิธีอัพฟีลตัวเองยังไงบ้าง
เวลาเครียดกังวล ผมก็จะพยายามปิดทุกอย่างที่ทำให้เรากังวล เช่น ถ้าเครียดเรื่องการอ่านหนังสือ ผมก็จะวางมันลง ให้เวลาตัวเองซัก 2-3 นาทีเพื่อคิดว่าทำไมเราจึงเครียด แล้วจะทำไงดีถึงจะหายเครียด หรือถ้าเครียดมากๆ จริงๆ ผมก็จะลองออกไปหาความสุข อาจจะไปเจอเพื่อน เล่นเกม เล่นดนตรี ฟังเพลง อะไรประมาณนั้นครับ
เป้าหมายหลังจากนี้ของภูวินทร์คืออะไร
เป้าหมายของผม ถ้าให้ผมจัดระเบียบ คืออย่างน้อยจบปริญญาตรี ปริญญาโท ทำงานการแสดงที่เรารักต่อไป ถ้าเราทำได้ 3 อย่างนี้ก็จะดีใจมากแล้ว แต่ถ้าได้มากกว่านี้ก็ยินดีรับ ไม่เกี่ยง แต่โกลหลักๆ คือเรียนให้จบและเมนเทนงานนี้ต่อไป
ทำไมภูวินทร์ถึงให้ความสำคัญกับการเรียนปริญญาโท
ผมรู้สึกว่าในยุคสมัยนี้อะ เป็นยุคที่อย่างน้อยทุกคนต้องจบปริญญาตรี ผมก็เลยรู้สึกว่าตัวเองต้องถีบตัวเองขึ้นไปอีก ขยันขึ้นไปอีก เพื่ออย่างน้อยจบโทให้ได้ ก็น่าจะได้เปรียบคนอื่นนิดนึง เป็นการเพิ่มต้นทุนให้ตัวเอง
แล้วในเป้าหมายของเราไม่มีเกี่ยวกับวิศวะเลย?
คือถามว่าอยากทำมั้ยอะ อยากทำ แต่ผมยังไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลยพี่ คือเวลาใช้ชีวิต ผมเคยลองวางเป้าหมายที่ใหญ่ และเป็นเป้าหมายระยะยาว ซึ่งพอให้ระยะเวลายาวๆ ผมจะไม่ค่อยโฟกัสกับโกลนั้น แบบ เออมันอีกตั้งนาน ค่อยทำก็ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำซักที ผมเลยพยายามมองให้สั้นลง เรามีเวลาแค่นี้ เราน่าจะทำได้ อยู่กับมันไปก่อน
ถ้าสมมุติมีน้องๆ อยากติดตามผลงานของพี่ภูวินทร์ ตอนนี้ติดตามได้ทางไหนบ้างครับ ขายของหน่อย
ก็ขอขายของกันอีกรอบนะครับ 5555 ตอนนี้ The Gifted: Graduation ก็กำลังเข้มข้น ดุเดือดแบบสุดๆ อยู่เลยนะครับตอนนี้ ก็มาติดตามเติร์ดและทุกคนกันได้ ทุกวันอาทิตย์ สองทุ่มครึ่ง ทาง GMM25 และย้อนหลังที่ LINE TV ตอนสี่ทุ่มครึ่งนะครับ ส่วนใครที่ยังไม่เคยดู ผมบอกเลยว่าวินาทีนี้คือห้ามพลาดเลย ไปเก็บ EP. ที่ผ่านมาได้ทาง LINE TV นะครับ
และถ้าหากอยากติดตามผมก็สามารถเข้าไปกด Follow กันได้ที่ IG Phuwintang หรือถ้าใครสนใจด้านการแคสเกมก็ติดตามผมได้ที่ Twitch ชื่อ phuwintang เหมือนกันนะฮะ ผมแคสไม่ค่อยบ่อย แต่ก็อยากฝากให้ทุกคนติดตามเป็นกำลังใจกันด้วยคร้าบ ^^
สุดท้ายนี้ อยากให้ฝากอะไรทิ้งท้ายถึงน้องๆ ที่กำลังค้นหาตัวเอง หรือน้องที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้าหน่อยครับ
ก็สำหรับใครที่กำลังหาตัวเองหรือกำลังจะสอบเข้านะครับ พี่อยากบอกว่า น้องๆ ต้องอย่ายอมแพ้ อย่าท้อ เข้าใจความรู้สึกนะ คือแบบเมื่อเราทำไปเรื่อยๆ เราก็อาจยิ่งตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราต้องทำจริงเหรอ เราไม่มีใจที่จะทำแล้ว เราไม่มีแรงบันดาลใจแล้ว แต่ว่าก็อย่าท้อและอย่ายอมแพ้ เพราะมันยังมีอะไรอีกเยอะเลยในชีวิตที่เราจะต้องเจอ นี่เป็นแค่เป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของชีวิต ดังนั้นเราก็ต้องพุ่งชนต่อไป สู้ต่อไป เป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนนะครับ ^^
เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย.. สำหรับ CAMPHUB idol วันนี้กับพี่ภูวินทร์ หวังว่าน้องๆ จะได้รับแง่คิดและแรงบันดาลใจชั้นดีจากพี่ภูวินทร์ไปไม่มากก็น้อย และถ้าน้องๆ มีเพื่อนที่สนใจเกี่ยวกับการเรียนวิศวะ อินเตอร์ จุฬาฯ หรือเพื่อนที่เป็น FC พี่ภูวินทร์ก็อย่าลืมกดแชร์ให้พวกเขาเหล่านั้นได้อ่านกันด้วยนะครับ และถ้าหากใครไม่อยากพลาดข่าวค่ายหรือบทความดีๆ แบบนี้จากแคมป์ฮับ ก็อย่าลืมแอดไลน์ไว้เลย ที่ @camphub สำหรับวันนี้ พี่วอร์มและพี่ภูวินทร์ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า บ๊ายบายยย
แคมป์ฮับไอดอล พี่ภูวินทร์ ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน
IG Phuwintang
Twitch Phuwintang
บทความ พี่วอร์ม แคมป์ฮับ
ประสานงาน พี่ฟิวส์ พี่แอมมายด์ แคมป์ฮับ
หน้าผม พี่เอิร์น YWC14
ถ่ายภาพ พี่นิว YWC14
กราฟิก พี่ออม พี่ซัน แคมป์ฮับ
ขอขอบคุณ BASE Playhouse สามย่านมิตรทาวน์ สำหรับสถานที่ และ GMMTV