ALL ABOUT P’NGERNPOUND
- พี่เงินปอนด์ ผู้ที่เคยค้นหาตัวเองผ่านการเข้าค่าย ด้วยความเชื่อที่ว่า ถ้าอยากจะรู้ว่าชอบเรียนอะไร ก็ต้องไปลองทำจริงในค่ายของคณะนั้น ๆ
- มีคณะแพทย์เป็นเป้าหมายอันดับ 1 ในใจ แต่คณะที่เธอสอบได้กลับเป็น เป้าหมายอันดับ 2
- ปัจจุบันพี่เงินปอนด์ศึกษาอยู่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 3
- เธอยังพยายามค้นหาตัวเองในบทบาทใหม่ ๆ พร้อมเปิดโอกาสในการ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
“ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต ดังนั้นการมีแผนสำรองย่อมเป็นสิ่งสำคัญ” ในวันที่เราไม่อาจไปถึงความฝันสูงสุดของตัวเอง การเดินตามทางที่เราชอบรองลงมาก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแต่อย่างใด ทั้งยังอาจนำเราไปพบความสุขรูปแบบใหม่ที่เราเองก็อาจคาดไม่ถึง
เช่นเดียวกับพี่คนนี้ “เงินปอนด์” คณสมน อภิการสกุลชัย สาวใสนักล่าค่าย CAMPHUB idol EP. 4 ที่เคยให้สัมภาษณ์กับแคมป์ฮับเมื่อตอนเรียนอยู่ชั้น ม.5 เวลาผ่านมา 4 ปี ความฝันในเส้นทางเสื้อกาวน์ถูกแทนที่ด้วยเสื้อช็อป จากอยากเรียนแพทย์ กลายเป็นว่าวันนี้เธอกำลังมีดีกรีเป็น นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ อะไรพาเธอมาถึงจุดนี้ และเพราะอะไรเป้าหมายในชีวิตของเธอจึงเปลี่ยนไป วันนี้พี่วอร์ม แคมป์ฮับจะพาน้อง ๆ ไปไขข้อสงสัยพร้อม ๆ กัน
ถ้าทุกคนพร้อมแล้วล่ะก็.. ลุยกันเลย!
สวัสดีฮะ อยากให้เงินปอนด์แนะนำตัวคร่าว ๆ หน่อย
ค่า เงินปอนด์ ชื่อจริงคณสมน อภิการสกุลชัย ตอนนี้เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคโยธา ปี 3 ค่ะ
ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง ส่วนมากทำอะไร
ปิดเทอมที่ผ่านมา ส่วนมากก็ดูซีรีส์ ดูหนังฟังเพลง แต่ก็มีเริ่มเรียนของบริษัทอสังหาฯ แห่งหนึ่งที่พัฒนาโครงการหมู่บ้าน คอนโด แล้วทีนี้เหมือนเค้ามีโครงการที่จะให้นักศึกษาประกวดออกแบบโครงสร้าง แต่ก่อนถึงขั้นตอนประกวด เค้าก็ส่งคอร์สเนื้อหามาให้เรียนเกี่ยวกับ BIM เป็นโปรแกรมจำลองการสร้างบ้าน ก็กำลังลองๆ เรียนมาเรื่อยๆ เตรียมสำหรับการแข่ง
ทำไมเงินปอนด์ถึงสนใจโครงการนี้ล่ะ แบบ ช่วงปิดเทอม หลายคนก็คงอยากอยู่ว่างๆ พักผ่อน
เอาจริง ก็อยากอยู่ว่างๆ นะ แต่ว่าเราก็อยากลองแข่งทางด้านนี้ดูบ้าง เพราะว่าในสายงานโยธา เราก็ยังไม่เคยได้เรียนรู้โปรแกรมนี้เลย ก็เลยอยากเรียน อยากฝึกฝนดู เปิดโอกาสให้ตัวเอง
เล่าคร่าวๆ หน่อยได้มั้ยว่าการแข่งเป็นยังไงบ้าง
ก็คือช่วงนี้ก็เรียนรู้การใช้โปรแกรมไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวเค้าจะส่งหัวข้อการแข่งขันมาให้วันที่ 8 กุมภา แล้วในช่วงนั้น เราจะต้องออกแบบและลงมือสร้างตามหัวข้อที่เค้ามอบหมายไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 จนถึง 31 มีนา สุดท้ายก็รอประกาศผลตอนเมษา คือถ้าติด 20 ทีมสุดท้าย เค้าก็จะพาเราไปดูไซด์ ดูที่ฝึกงาน แล้วก็สอนเราเพิ่มเติมทางด้านนี้
แล้วเปิดเทอมนี้ล่ะ เงินปอนด์มีแพลนยังไงบ้าง
แพลนคร่าวๆ ก็คือหาที่ฝึกงาน ก็คือส่ง CV หรือ Portfolio ไปตามที่ต่าง ๆ แล้วก็รอเค้าตอบกลับ ซึ่งก็ลุ้นอยู่ว่าจะได้มั้ย
อยากถามความรู้สึกต่อการเรียนออนไลน์หน่อย มันกระทบกับการเรียนของเงินปอนด์มั้ย
สำหรับเรา มันกระทบหนักแหละ โยธา ปี 3 อะมีเข้าแล็บทดลองเยอะ มันควรได้เข้าไปใช้แล็บจริงๆ มากกว่า แล้วจะให้เรียนออนไลน์อย่างเดียวก็คิดว่าจบไปเนี่ย สร้างบ้านไม่ได้แน่ๆ 5555
โอเค ย้อนรอยกันหน่อยเนาะ ตอนที่สัมภาษณ์คราวก่อน มันดูชัดเจนมากๆ เนาะว่าเงินปอนด์อยากเรียนแพทย์ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงมาอยู่วิศวะได้ล่ะ
โอเค ต้องเล่าก่อนว่าตอนนั้นอะช่วง ม.4 ใจนึงเราก็มีหมอ แต่ว่าเราก็อยากมีตัวเลือกเผื่อ ก็เลยลองหาที่อื่น ลองหาตัวเองว่านอกจากหมอ เราพอจะสนใจอะไรอีกบ้าง ก็เลยลองไปเข้าค่ายวิศวะดู ปรากฏว่ามันก็ชอบเหมือนกัน ความจริง 2 อย่างนี้ ทั้งหมอและวิศวะ เราก็ลังเลทั้งคู่นะ แต่ว่าสุดท้ายก็อยากเรียนหมอมากกว่า จนมาถึงช่วงสอบนี่แหละ คะแนนกสพท.มันพลาดไปหน่อยนึง แต่คะแนนที่ใช้ยื่นวิศวะมันโอเค เราก็เลยหันมาเรียนวิศวะเลย เพราะว่าทางสายสุขภาพอะ เราอยากทำแค่หมอกับทันตะ ซึ่งถ้าหลุด เราก็ขอเลือกเป็นวิศวะที่เราชอบรองลงมาดีกว่า
แล้วสุดท้ายพอได้เรียนเป็นวิศวะ เงินปอนด์รู้สึกยังไง โอเคกับเส้นทางนี้มั้ย
เอาจริงครั้งแรกที่เข้ามา ก็.. ด้วยความที่ใจเรายังอยากเป็นหมออันดับ 1 เราก็เลยไม่รู้ว่าถ้าเข้ามาเรียนแล้วมันจะชอบเท่าหมอมั้ย แต่ก็ตัดสินใจลองเรียนดูก่อน คิดว่าการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อาจทำให้เราได้เจออะไรที่น่าสนใจก็ได้
การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อาจทำให้เราได้เจออะไรที่น่าสนใจก็ได้
แล้วพอเรียนมาแล้ว 3 ปี สรุปเราชอบมันจริง ๆ มั้ย
พูดตรงๆ ว่าเข้ามาเรียนวิศวะ จุฬาฯ ที่นี่ใช่สำหรับเรามั้ย มันก็มีหลายปัจจัยอะ ความกดดัน ความเหนื่อย คนเก่งมันเยอะ ก็เลยแข่งขันสูง เอาตามตรง ทุกวันนี้ก็ยังแอบชอบๆ หมออยู่นะ
แต่ถ้าเรียนหมอมันก็กดดันเหมือนกันรึเปล่า
ก็คงกดดันแหละ แต่เพราะเราชอบเรียนชีวะไง อย่างน้อยมันก็พอมีสายวิชาที่เราชอบอยู่บ้าง อาจจะเรียนแล้วไม่เครียดเท่านี้ เพราะพอเป็นวิศวะ มันคำนวนเยอะมาก ๆ ก็เหนื่อยและท้อแท้บ้าง 5555
แล้วเคยคิดจะซิ่วบ้างมั้ย
ไม่ใช่แค่มีความคิดนะ ปี 1 ก็คือไปสอบมาอีกรอบ ซึ่งผลก็คือไม่ติด ด้วยความที่ปี 1 ของวิศวะ มันต้องทำเกรดให้ดีเพื่อใช้ในการเลือกภาค เราก็เลยไม่มีเวลาไปอ่านหนังสือสอบหมอมากขนาดนั้น เหมือนเราทำ 2 อย่างในครั้งเดียว ซึ่งเราก็ต้องเทไปทางสอบไฟนอลของวิศวะที่เราเรียนอยู่มากกว่า
แต่บางคนเค้าก็ยอมดร็อปเพื่อสอบหมอนะ เงินปอนด์เคยอยากทำแบบนั้นมั้ย
เคยนะ ตอนก่อนเปิดเทอมปี 1 เทอม 1 แต่พอได้เรียนเทอมแรก เราก็รู้สึกว่ามันก็โอเคนะ มันก็ไปได้ ไม่ได้อยากดร็อป แล้วสมมุติเราทิ้งตรงนี้เพื่อไปสอบใหม่ แล้วเกิดสอบไม่ได้ เราก็ต้องเสียเวลาไปอีกปีนึง ซึ่งแบบ เราไม่อยากเลือกทางนั้น เพราะที่เราเรียนอยู่มันก็โอเคเลย
เงินปอนด์บอกว่าชอบชีวะ แล้วอะไรที่ทำให้หันมาสนใจคณะวิศวกรรมได้ล่ะ
ก็คือเราไปค่ายวิศวะที่มหิดล ซึ่งเค้าพาเราเข้าไปดูทุกแล็บของคณะเลย เช่น แล็บโยธาเค้าก็ให้เราดูการอัดคอนกรีต วิศวเคมีก็ให้เราดูส่วนผสมเคมีต่างๆ มันก็เลยทำให้เราเริ่มอยากเข้าวิศวะ แล้วก็อีกเหตุผลนึง เราเป็นคนที่ชอบการลงมือทำมากๆ อยากลงปฏิบัติจริง พวกการอัดคอนกรีตมันแปลกใหม่และน่าสนใจมากๆ ได้ลงมือทำด้วย เราก็เลยสนใจมันเป็นพิเศษ
เล่าเรื่องวิศวโยธาให้ฟังหน่อย มันเรียนเกี่ยวกับอะไร
เรียนเกี่ยวกับการก่อสร้างสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ตึก ถนน สะพาน ซึ่งมันก็จะแยกย่อยไปศึกษาด้านน้ำดิน โครงสร้าง และก็ด้านเศรษฐศาสตร์ ก็คือเพื่อใช้ในการคำนวณราคาโครงสร้าง หรือพูดง่ายๆ คืออย่างสถาปัตย์เนี่ยก็คือออกแบบใช่มั้ย แล้วเราก็คำนวน ดูพื้นที่ต่างๆ และทำให้การออกแบบนั้นเกิดขึ้นได้จริง
ต้องเรียนเกี่ยวกับน้ำด้วย มันเกี่ยวยังไงเอ่ย
ใช่ ตอนเราออกแบบโครงสร้าง เราก็ต้องออกแบบเพื่อป้องกันแรงดันน้ำ การเกิดน้ำท่วมต่างๆ
เคยรู้มาว่าตอนแรกเงินปอนด์อยากเรียนวิศวะคอม แล้วทำไมมาลงเอยที่โยธาได้
เอาจริงๆ ตอนแรกโยธาไม่ได้อยู่ใน Rank เลย แบบคิดว่ามันเรียนไปสร้างบ้านอย่างเดียว ช่วงแรกอยากเรียนภาคคอม เพราะรุ่นพี่บอกว่าภาคนี้น่าสนใจ ดูมีอนาคต หางานได้หลากหลาย แต่พอเริ่มเรียนวิชาเขียนโปรแกรม ช่วงแรกก็มั่นใจนะว่าทำได้ เพราะตอน ม.ปลายเคยเรียนมาบ้างนิดๆ แต่พอสอบควิซในมหาลัยครั้งแรกเท่านั้นแหละ คะแนนเละเทะมาก ทำไม่ได้ ก็เลยเริ่มรู้สึกว่าสายนี้มันเริ่มไม่ใช่ละ สุดท้ายเราก็เลยตัดภาคคอมออกไปเลย เพราะถ้าเราต้องมาเขียนโค้ด เราก็เครียด ก็ทรมาน ก็เลยไม่เอา ภาคนี้ไม่เข้าแล้ว ฮรือออ
ก็เลยเริ่มเปลี่ยนใจมาเป็นโยธา?
เปล่านะ 5555 สุดท้ายมาจบที่ภาควิศวอุตสาหการ ก็คือเรียนเกี่ยวกับการบริหาร เรียนไปบริหารงานวิศวะอีกที เราคิดว่าน่าจะได้เรียนรู้อะไรหลายด้าน เหมือนได้เรียนพื้นฐานของทุกภาค ก็เลือกวิศวอุตสาหการไปอันดับ 1 แล้วก็เลือกโยธาไปอันดับ 2 เพราะก็มารู้ว่าวิชาเรียนก็น่าสนใจ มันไม่ได้มีแค่สร้างบ้านเหมือนที่เราคิดตอนแรก มันมีการประเมินราคาโครงสร้าง ก็น่าสนใจ เราก็เลยเลือกโยธาสำรองไว้รองจากภาคอุตสาหการ ซึ่งสุดท้ายเกรดเราถึงวิศวโยธา
แสดงว่าเกรดก็เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับวิศวะ จุฬาฯ
มากๆ เพราะคนที่เกรดดีกว่าจะมีโอกาสเลือกภาคที่ตัวเองต้องการก่อน ดังนั้น ตอนปี 1 ทุกคนก็เลยต้องพยายามทำเกรดให้ดีเข้าไว้
วิธีการเรียนสมัยมัธยมกับมหาลัยต่างกันมั้ย
ต่างนะ หลักๆ เลย อย่างสอบงี้ ตอน ม.ปลาย คืออ่านแค่วันสองวันก่อนสอบก็ได้ แต่ถ้ามามหาลัย เราต้องเตรียมตัวก่อนประมาณเดือนนึง เพราะว่าเนื้อหามันเยอะมาก เราเคยอ่าน 2 อาทิตย์คือไม่ทันเลย มันอ่านจบนะ แต่มันไม่พอกับการฝึกทำโจทย์จริงๆ
นอกจากเรื่องเวลาเตรียมตัวสอบมีเรื่องอื่นอีกมั้ยที่ไม่เหมือนตอนมัธยม
ก็อย่างการเข้าเรียนงี้ ถ้าเป็น ม.ปลาย เรานั่งเรียนในห้อง ก็เหมือนโดนบังคับนั่งเรียนเนอะ แต่อย่างมหาลัย อาจารย์เค้าไม่ได้มาบังคับ ถ้าไม่เข้าก็ต้องไปอ่านเอง
เงินปอนด์คิดว่าดีหรือไม่ดีที่อาจารย์มหาลัยไม่ได้สนใจว่าเราจะเข้าหรือไม่เข้า
ก็ดีและก็ไม่ดี ไม่ดีเพราะว่ามันไม่มีใครบีบบังคับเรา ถ้าเราขี้เกียจ เค้าก็ไม่สนใจ เราก็เรียนไม่รู้เรื่อง สอบก็อาจจะได้คะแนนน้อย ไอตรงนี้อะ มันไม่ดี แต่บางวิชาที่เราชอบ เราอ่านเองได้ เราเข้าใจ มันก็ดีที่เราจะไม่ถูกบังคับเข้าไปนั่งฟัง อ่านเองก็เข้าใจเหมือนกัน
เพื่อนที่คณะเป็นไงบ้าง ต่างจากเพื่อนสมัยเรียนมั้ย
อันนี้ก็ต่างนะ ด้วยความที่เราจบมัธยมมาจากโรงเรียนหญิงล้วน เราก็เลยมีแต่เพื่อนผู้หญิง เราก็จะคุยเล่น เม้าท์กัน แต่พอขึ้นมหาลัยและเรียนวิศวะ ซึ่งผู้หญิงน้อยมาก เราก็เลยมีแต่เพื่อนผู้ชายเป็นส่วนมาก เราก็กลายเป็นสาวห้าวนิดๆ เพราะพวกเพื่อนผู้ชายเค้าก็ลุยๆ
แล้วเราชอบแบบไหนมากกว่ากัน
เลือกไม่ได้อะ ดีคนละแบบ สบายใจในแบบที่ต่างกัน อยู่กับเพื่อนมัธยมก็คือสนิท คุยได้ทุกเรื่อง แบบเข้าใจเรามากกว่า เพราะอยู่ด้วยกันมา 6 ปี แต่อย่างถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายก็คุยได้บ้าง ละก็มันไม่คิดมาก อยู่ด้วยแล้วตลก เฮฮา ไม่ต้องนั่งคิดเยอะ พูดตรงๆ ได้
หลายคนสงสัยว่าการเป็นผู้หญิงเป็นอุปสรรคต่อการเรียนคณะนี้มั้น เงินปอนด์คิดว่าไง
ตอนแรกก็แอบเป็น พ่อกับแม่งี้ก็ถามนะว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะเรียนไหวรึเปล่า แต่เค้าก็ไม่ได้บังคับหรือห้ามไม่ให้เราเรียน สุดท้ายพอเราติด เค้าก็ให้เราลอง ถ้าเราเรียนแล้วมีความสุขเค้าก็โอเค ยิ่งพอเห็นเราเรียนได้ดี เหมือนวางอนาคตไว้ว่าจะทำอะไรต่อ เค้าก็โอเคที่เราเลือกสิ่งนี้
ถามมุมกุ๊กกิ๊ก ๆ นิดนึง อย่างเรื่องความรักในรั้วมหาลัยงี้ เป็นไงบ้าง แบบน้อง ๆ หลายคนคิดว่าเออ เดี๋ยวชั้นจะมาหาแฟนช่วงมหาลัย มันหาได้จริงรึเปล่า
หาแฟนตอนปี 1 ไม่ยากนะ แต่ถ้าเกินไป 1 ไปแล้ว ยาก 5555
ทำไมเป็นงั้นนะ?
คือตอนปี 1 มันหาง่าย เพราะทุกคนเพิ่งเคยมาเจอกันที่มหาลัย เป็นเฟรชชี่หมดเลย โสดๆ กันมา ปีแรกก็เลยเป็นปีที่หาแฟนง่าย แต่พอหลังจากนั้น หลายคนก็เริ่มมีคู่ ก็ยาวไปเลยจนจบ
ดังนั้น รีบหาตั้งแต่ปี 1 นะคะ 5555
มาพูดถึงเรื่องค่ายกันบ้าง ตอนมัธยม ส่วนมากเงินปอนด์เข้าค่ายสายแพทย์หมดเลย แบบนี้รู้สึกเสียดายเวลามั้ย เพราะสุดท้ายแล้วเรามาเรียนวิศวะ
ไม่นะ ไม่เสียดายเลย มันเหมือนเราได้ใช้เวลาว่างที่เราอาจจะนอนเล่นอยู่บ้านเพื่อออกไปเข้าค่าย ไปทำจริง ได้ประโยชน์กับมาหลายอย่างมาก อย่างที่เราไปค่ายหมอ มันไม่เปล่าประโยชน์เลย เช่น ที่เค้าสอนเย็บ สอน CPR มันก็กลายเป็นความรู้ติดตัวเราถึงวันนี้
ทำไมถึงชอบเข้าค่ายขนาดนั้น
ด้วยความที่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรกันแน่ เราก็เลยอยากหาประสบการณ์ ลองทำสิ่งต่างๆ ถามตัวเองว่าเราชอบแนวทางนี้มั้ย ถ้าไม่ แล้วเราชอบทางไหนกันแน่ ซึ่งการเข้าค่ายมันก็ช่วยให้เราตอบคำถามตัวเองได้หลายอย่าง
อยากให้แชร์เคล็ดลับการเขียนใบสมัครค่ายหน่อย
5555 ความจริงก็หลายค่ายที่สมัครไปเราก็ไม่ติดนะ แต่ถ้าให้แนะนำ ก็ อืมม ไม่รู้แฮะ อย่างคำถามในใบสมัคร เราก็อยากให้ตอบแบบเป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่ใช่เขียนสะเปะสะปะนะ ก็พยายามตอบให้เป็นตัวเรา แล้วก็คิดด้วยว่าสิ่งที่เราตอบมันสอดคล้อง เป็นไปได้กับคำถามมั้ย
แนะนำน้องที่คิดว่าไม่อยากเข้าค่าย กลัว หรือลังเลที่จะสมัคร
สำหรับน้องที่ไม่เคยสมัครค่าย เป็นธรรมดาที่ครั้งแรกอาจจะกลัว ก็อยากให้สมัครไปเลย ไม่ต้องกลัว ไปถึงยังไงก็มีเพื่อน มีหลายคนมาก ๆ ที่มาคนเดียวเหมือนเรางี้แหละ เราค่อยไปหาเพื่อนตรงนั้นก็ได้ ยังไงทุกคนเจอกันครั้งแรกก็อยากรู้จักกันอยู่แล้ว มันไม่มีใครเจอกันครั้งแรกแล้วเกลียดกันหรอก ลองดู จะได้รู้ว่าค่ายที่เราสมัคร คณะที่เราไป มันดี มันเหมาะกับเรามั้ย ไม่ต้องกลัวเลย
ตอนนั้นที่สัมภาษณ์คราวก่อน เรา ม.5 เนอะ ตอนนี้ปี 3 แล้ว วันนั้นเรามองว่าคนที่อยู่ปี 3 เป็นยังไง
ตอนนั้นอะ ถ้าพูดถึงปี 3 ก็คือ เค้าเป็นคนที่โตมากๆ แล้ว เค้าต้องรู้อะไรเยอะมากแน่ๆ อีกปีเดียวเค้าก็เรียนจบ ความรู้เค้าคงโชกโชนมากๆ
แล้ววันนี้พอเราที่เป็นปี 3 ซะเองมันเหมือนกับที่เรามองพี่ปี 3 วันนั้นมั้ย
อืม ก็เหมือนนะ แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด เราก็โตขึ้นนั่นแหละ ทัศนคติต่างๆ ก็เปลี่ยนไป แต่เรื่องความรู้ก็อาจจะไม่ได้เยอะขนาดนั้น
เป้าหมายในชีวิตของเงินปอนด์คืออะไร
โห ยากนะเนี่ย เป้าหมายในชีวิต ก็.. อยากทำงานดีๆ แหละ อยากทำงานตรงสาย แต่สายงานที่เราอยากทำก็อาจจะไม่ได้โครงสร้างหรือออกแบบจ๋าๆ อาจจะเน้นไปทางอสังหาฯ บ้าน คอนโด แนวตรวจสอบ ประเมินราคามากกว่า
แล้วเป้าหมายด้านอื่นๆ ล่ะ ชีวิต ครอบครัว ความเป็นอยู่
ก็มีนะ อยากทำงานดีๆ คือเบื้องต้น นอกจากนั้นก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แล้วก็อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น
คติในการใช้ชีวิตของเงินปอนด์คืออะไร
ถ้าอยากทำอะไร ก็จงลงมือทำ ไม่อยากรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำ
เอาจริงๆ จุดที่เงินปอนด์อยู่ตอนนี้ก็เป็นจุดที่เด็กไทยหลายคนใฝ่ฝัน แต่มันก็ดูจะห่างไกลจากสิ่งที่เงินปอนด์ในวันนั้นต้องการอยู่พอสมควร โดยสรุป เรารู้สึกยังไงกับจุดนี้บ้าง
ก็ต้องบอกว่า ใจนึงก็เสียดายที่ไม่ติดหมอ ไม่ได้เรียนในคณะที่เราอยากเข้าตั้งแต่ทีแรก แต่ว่าในความเสียดายก็ยังรู้สึกมีความสุขดีนะที่ได้มาเรียนที่นี่ เป็นความสุขที่เราก็ไม่ได้จินตนาการไว้
ในจุดนี้ เราอยากบอกอะไรกับรุ่นน้องบ้าง
ถ้าอยากเรียนอะไร ก็อยากให้มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ถ้าอยากเรียนหมอ แล้วสอบไม่ติด ก็อยากให้ตั้งใจสอบใหม่ไปเลย ถ้าเราไม่ได้มีคณะอื่นในใจก็อย่าฝืน ต่อให้ช้าไปอีกปีก็ไม่เป็นไร
อยากบอกอะไรกับรุ่นน้องที่เจอประสบการณ์เดียวกับเรา คือได้คณะที่ชอบรองลงมา เค้าก็เรียนในสิ่งที่ชอบ แต่ไม่ได้ชอบที่สุด
ก็ถ้าชอบคณะนั้นรองลงมา ก็อยากให้ลองดู เรียนรู้มันดู จะได้รู้ว่าเป็นยังไง มันไม่เสียเวลาเลย แถมดีซะอีกที่จะได้รู้ว่าเราชอบมันมั้ย ถ้าชอบก็มุ่งไปเลย แต่ถ้าไม่ชอบ เราก็จะได้รู้คำตอบว่าคณะอันดับ 1 ในใจที่เราพลาดคือจุดหมายของเราจริงๆ
แชร์เทคนิคการอ่านหนังสือแบบฉบับเงินปอนด์หน่อย
ตอนเรียนก็อยากให้ตั้งใจเรียนจริงๆ ถ้าเล่นเยอะ ก็อาจจะหลุดได้ง่ายๆ คือการตั้งใจเรียนแต่ละวิชามันไม่ได้นานเลย เวลาพักก็ค่อยเล่นหรือทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ก็อย่าลืมทบทวนบ้าง อ่านหนังสือ ทำโจทย์บ้าง ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม ควรทำโจทย์เยอะๆ
สุดท้ายอยากให้เงินปอนด์ ให้กำลังใจน้องๆ ที่กำลังจะต้องสอบเข้าหน่อย ยิ่งช่วงนี้อะไรๆ ก็ไม่แน่นอนเพราะโควิด
ก็ ช่วงนี้ก็ต้นปีแล้ว น้องๆ อาจจะเครียดเพราะเวลาเตรียมตัวน้อยลงเรื่อยๆ ก็ขอให้น้องๆ ตั้งใจอ่าน ถ้าเหนื่อยก็พักบ้าง หยุดซักนิด หาอะไรทำซักหน่อย เป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคน สู้ๆ จ้า
จะเห็นได้ว่าเส้นทางของ พี่เงินปอนด์ CAMPHUB idol ของเราในวันนี้มีความพิเศษมาก ๆ แม้ว่าเธออาจจะไม่ได้เข้าเรียนในคณะที่ชอบที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง แต่เพราะการไม่ลืมที่จะค้นหาเป้าหมายอื่น ๆ ที่ตัวเองสนใจตั้งแต่วันที่เธอยังอยู่มัธยม ทำให้ท้ายที่สุด เงินปอนด์ก็ได้เข้ามาเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป้าหมายอันดับสอง ซึ่งสร้างความสุขอีกแบบที่เธอไม่เคยจินตนาการ มากไปกว่านั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่พลาดที่จะเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ แม้กระทั่งในตอนปิดเทอม ดังนั้นเชื่อว่าพี่ ๆ แคมป์ฮับทุกคน รวมถึงน้อง ๆ ที่อ่านมาถึงตรงจะเป็นกำลังใจให้เธอต่อไปอย่างแน่นอน :)
และถ้าน้องๆ มีเพื่อนที่สนใจเกี่ยวกับการเรียนวิศวะ จุฬาฯ หรือมีเพื่อนที่อยากค้นหาตัวเอง แต่ยังไม่กล้าสมัครค่าย ก็อย่าลืมกดแชร์ให้พวกเขาเหล่านั้นได้อ่านกันด้วยนะครับ และถ้าหากใครไม่อยากพลาดข่าวค่ายหรือบทความดีๆ แบบนี้จากแคมป์ฮับ ก็อย่าลืมแอดไลน์ไว้เลย ที่ @camphub (มี @ ด้วยนะ) สำหรับวันนี้ พี่วอร์มและพี่เงินปอนด์ต้องขอลาไปก่อน
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า บ๊ายบายยย
idol พี่เงินปอนด์ คณสมน อภิการสกุลชัย
บทความ พี่วอร์ม CAMPHUB
ถ่ายภาพ พี่ซัน CAMPHUB
กราฟิก พี่นิว CAMPHUB
ประสานงาน พี่ฟิวส์ พี่แอมมายด์ CAMPHUB
ขอขอบคุณสถานที่ โรงแรม เดอะ เดวิส กรุงเทพ สุขุมวิท 24