กดแชร์เอาไว้อ่านทีหลัง หรือแชร์ให้เพื่อน คลิกด้านล่างเลยจ้า
CAMPHUB idol

ทำความรู้จักพี่แพง “Pang Pattanan” จากรั้วดุริยางคศิลป์มหิดล สู่การเป็นนักร้องเสียงใสแห่งค่าย Gene Lab

CAMPHUB idol วันนี้เรากลับมาทักทายน้องๆ กันอีกเช่นเคย ครั้งนี้ พี่ซอขอพาน้องๆ มาพบกับ พี่แพง พัทธนันท์ ศิลปินหญิงเดี่ยวสุดป็อปคนแรกของค่าย Gene Lab ที่เพิ่งออกเพลงซิงเกิลใหม่ “Moment” ไปเมื่อเร็วๆ นี้เอง

ศิลปินสาวคนนี้เรียกได้ว่ามีเรื่องราวที่ไม่ธรรมดา เพราะมีแพชชั่นในเสียงดนตรีและเดินตามความฝันการเป็นนักร้องมาตั้งแต่จำความได้เลย เข้าเรียนต่อระดับมหาลัย ที่ดุริยางคศิลป์ มหิดล จนมาเป็นศิลปินตัวจริงของค่าย Gene Lab ในเครือ GMM Grammy ไปพูดคุยกับพี่แพงกันว่า เส้นทางการมาเป็นศิลปินนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และอะไรที่เป็นกำลังใจสำคัญให้มาถึงจุดๆ นี้ ตามไปดูกันเลย..



Q: แนะนำตัวเองให้น้องๆ ได้รู้จักกันหน่อย

A: สวัสดีค่าน้องๆ พี่ชื่อแพง พัทธนันท์ อภิวัฒน์เวคิน จบจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เอก Voice สาขาดนตรีสมัยนิยม ตอนนี้เป็นศิลปินอยู่ค่าย Gene Lab ค่ะ


Q: เล่าย้อนถึงตอนเด็กๆ กันหน่อย อะไรที่ดึงดูดให้เราชื่นชอบในการร้องเพลง เริ่มต้นตั้งแต่อายุเท่าไหร่

A: ตั้งแต่จำความได้ก็รู้สึกว่าชอบร้องเพลงแล้ว อาจจะเพราะคุณพ่อคุณแม่เขาชอบฟังเพลงกัน ก็เลยซึมซับมาจากตรงนั้น คุณแม่เล่าว่าแพงร้องเพลงได้ตั้งแต่ 2 ขวบ แล้วที่บ้านเขาจะชอบร้องคาราโอเกะ เปิดเพลงเอ็มวีคอนเสิร์ตต่างๆ เราก็ชอบร้องตาม แสดงตามเหมือนมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง


Q: แล้วตอนนั้น เราได้มีโอกาสไปโชว์หรือประกวดบ้างมั้ยเอ่ย

A: นับงานโรงเรียนตอนอนุบาลด้วยมั้ยคะ 5555 จำได้ว่าเคยร้องตั้งแต่อนุบาล จะเป็นงานโรงเรียนแล้วมีนักเรียนหลายๆ คนยืนร้อง เราก็ได้เป็นคนถือไมค์ต้นเสียงอะไรแบบนี้ แต่พอโตขึ้นมาหน่อยช่วงประถมแพงกลับขี้อายไม่กล้าร้องนะ จนกระทั่งปลดล็อกตัวเอง พ่อพาไปร้านที่มีคาราโอเกะแล้วบอกว่า “ถ้ากล้าขึ้นไปร้องจะซื้อโทรศัพท์ให้” ด้วยความอยากได้ก็เลยขึ้นไปปรากฏว่า “อ้าว! ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยหนิ” หลังจากนั้นก็กล้าเลย แล้วพอขึ้นมัธยมมีโอกาสได้ร้องเพลงหน้าเสาธงต่อหน้าคนเยอะๆ เป็นครั้งแรก เราได้รับฟีดแบคที่ดีมากๆ ก็ทำให้เราภูมิใจ มีความสุขแล้วก็ได้รู้ว่าตัวเองชอบสิ่งนี้จริงๆ จากนั้นก็ได้โชว์เรื่อยๆ เป็นนักร้องโรงเรียน แล้วก็เคยมีคนจ้างไปร้องงานแต่งด้วยนะคะตั้งแต่ ม.ต้น ภูมิใจมากแล้วก็ดีใจที่เขาไว้ใจให้เราไปเป็นส่วนหนึ่งในงานสำคัญของเขา มีไปประกวดบ้างเป็นตัวแทนของโรงเรียนอะไรแบบนี้ 



Q: จากความชอบในเสียงเพลง ทำไมถึงเลือกที่จะมาจริงจังในสายนี้ถึงขั้นที่เลือกเรียนคณะสายดนตรีเลย

A: แพงมีความฝันอยากเป็นศิลปิน นักร้องมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วแพงก็คิดว่าถ้าเราอยากเป็นเราชอบ เราก็อยากเอาตัวเองไปอยู่ใกล้สิ่งนั้น ศึกษาให้รู้ว่ามันเป็นยังไง อีกอย่างนึงคือถ้าเราจะต้องเรียนอะไรสักอย่างอยู่กับมันไปอีก 4 ปี ก็อยากจะเรียนในสิ่งที่ชอบและมีแพชชั่น


Q: แล้วถ้าไม่ได้เรียนสายดนตรี เราอยากจะเรียนสายอะไร

A: จริงๆ แพงไม่ได้คิดสำรองไว้เลย ก็ใจมันไปทางนี้แล้ว แต่ในตอนนั้นก็ไม่ได้ละทิ้งวิชาการเรียนในโรงเรียนนะคะ ก็ตั้งใจพยายามทำเกรดให้ดี เผื่อว่าเราสามารถเอาไปยื่นที่อื่นได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่เราอยากจะเรียนเท่าดนตรี


Q: ครอบครัวเรามาสนับสนุนเราอย่างไรบ้างทั้งความฝันและการเลือกคณะ

A: ครอบครัวแพงค่อนข้างให้อิสระมากๆ อยากเรียนหรืออยากทำอะไรก็ทำเลย แพงรู้สึกว่าโชคดีมากๆ ที่ครอบครัวเข้าใจ ในตอนที่บอกเขาว่าอยากเรียนดนตรีเขาแทบไม่มีคำถามเลย เขาซัพพอร์ทเต็มที่ทั้งตอนไปส่งเรียนพิเศษ ไปซ้อม นู่นนี่นั่น



Q: พอได้เข้ามาเรียนจริงๆ ในดุริยางค์มหิดล รู้สึกยังไงบ้าง ต่างจากตอนแรกที่คิดไว้หรือเปล่า

A: ต่างอยู่ค่ะ จริงๆ เราก็แอบคิดว่ามันจะชิลๆ กว่านี้ 555555 พอเข้ามามันไม่ใช่แค่ร้องเพลงละ มันมีเรื่องของทฤษฎีดนตรี วิชาอื่นๆ มีต้องเขียนเพลง ทำเพลง แต่งเพลง พอสิ่งที่เราชอบทำเป็นงานอดิเรกมันกลายเป็นอะไรที่เราเรียนมันก็มีความจริงจังมากขึ้น


Q: การเรียนในคณะเป็นยังไง ทั้งพาร์ททฤษฎีและปฏิบัติ

A: อย่างของแพงจะเป็นสาขาที่เน้นการเพอร์ฟอร์ม วิชาปฏิบัติก็จะได้เรียนร้องเพลงตัวต่อตัวกับอาจารย์ทุกปี (หรือที่คณะจะเรียกว่าวิชาไพรเวท) แล้วก็มีวิชารวมวงที่เราได้จับวงรวมกับเอกอื่นๆ และสาขานี้จะเน้นในเรื่องการเป็นศิลปินที่โปรดิวซ์งานเองได้ และมีเรียนเขียนเนื้อเพลงด้วย ตั้งแต่ปี 2 เราจะต้องแต่งเพลงทำเพลงส่งอาจารย์ทุกๆ เทอม จนถึงปี 3-4 เราจะต้องทำคอนเสิร์ตจบ แล้วก็มีทำธีสิสจบเป็นอัลบั้มเพลงของเรา ส่วนพวกวิชาเลคเชอร์ก็เป็นทฤษฎีดนตรี ประวัติดนตรีต่างๆ ค่ะ เรียนเยอะมากพูดไม่หมด 55555


Q: คิดว่าการเรียนคณะนี้มาช่วยการเป็นนักร้องนักดนตรีของเรายังไงบ้าง ในเมื่อตอนนี้หลายๆ คนที่มาเป็นศิลปินก็ไม่ได้เรียนคณะด้านดนตรีมา

A: แพงขอตอบในความคิดเห็นของแพงคนเดียวนะคะ รู้สึกว่ามันคือการได้เรียนรู้เทคนิคเกี่ยวกับดนตรีแบบซึมซับไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะเราต้องเรียน ต้องซ้อม ต้องทำ ต้องอยู่กับมันเยอะมากๆ บางเรื่องเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจรู้แต่เราเจอซ้ำๆ มันเลยเข้าใจและจำได้ ซึ่งถ้าหากคนไม่ได้เรียนดนตรีเขาศึกษาก็อาจจะทำได้แบบเราแหละ แต่พอดีเราขี้เกียจก็เลยรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีนะ รู้ตัวเองอีกทีก็ อ๋อ พอเข้าใจแล้ว 555555 แล้วอีกอย่างก็คงเป็นเรื่องของสังคม เราได้มาอยู่ในสังคมที่ชอบดนตรีเหมือนกัน ได้มาแชร์เพลงที่ฟังซึ่งบางเพลงบางวงไม่เคยฟังก็รู้จักเพราะเพื่อนนี่แหละ แล้วเราก็ยังได้มีคนแชร์ไอเดียต่างๆ แบบอาจารย์ที่คณะก็ปรึกษาได้ แพงได้คำแนะนำมาเยอะมากๆ ก็เลยมีส่วนช่วยในเรื่องของแนวคิดแรงบันดาลใจด้วย


Q: ชอบวิชาไหนมากที่สุดในตอนเรียน

A: จริงๆ ชอบวิชาปฏิบัติของสาขาหมดเลยค่ะ พวกไพรเวท สมอล



Q: นอกจากการเรียนแล้ว บรรยากาศในการอยู่มหิดลเป็นยังไงบ้าง รีวิวเล็กๆ ให้น้องๆ ฟังกันหน่อย

A: ก็บรรยากาศ ตึกที่คณะสวยดี แบบร่มรื่น คนจะชอบมาถ่ายรูป มีของกินรอบม. มากมาย อร่อยๆ ทั้งนั้นเลย


Q: พี่แพงเริ่มต้นการทำเพลง จากการทำเพลงเองลงยูทูบ ตอนนั้นตัดสินใจอย่างไร ถึงได้มาเริ่มต้นทำ

A: ก็เกิดจากการสานต่อความฝันตัวเองในการอยากเป็นศิลปิน จริงๆ เรามีความคิดอยากจะทำเพลงปล่อยมาตั้งนานแล้ว เพราะเราเองก็โอกาสได้ลองแต่งเพลงทำเพลงส่งทุกเทอม แล้วเราก็มัวแต่คิดมากจนถึงปี 3 เราคิดได้ว่าเออนี่ก็ใกล้จบแล้ว อยากจะลองทำอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าไม่เริ่มตอนนี้ก็ไม่ได้เริ่มสักที เลยตัดสินใจลงมือทำค่ะ


Q: พอมีโครงการ GMM Audition มา ทำไมถึงตัดสินใจสมัคร

A: ตอนนั้นปล่อยเพลงมาได้ 3 เพลงแล้วก็ยังไม่ได้มีฟีดแบคอะไรมาก เราเลยรู้สึกว่าอยากให้เพลงไปถึงหูคนฟังได้มากกว่านี้ บวกกับเรื่องของเงินทุนในการทำเราเริ่มรู้สึกเกรงใจที่บ้าน เราเลยเริ่มคิดอยากมีค่ายที่คอยสนับสนุนเรื่องเงินทุน และสามารถนำเพลงเราไปสู่วงกว้างได้มากกว่า ตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ GMM Grammy เปิดออดิชั่นพอดีเลยลองส่งดู



Q: บรรยากาศ ขั้นตอนต่างๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างของ GMM Audition เป็นยังไงบ้าง

A: รอบแรกเลยเค้าจะให้ส่งเป็นคลิปแนะนำตัว ส่งเพลงที่ตัวเองแต่ง แล้วก็ Cover เพลงแกรมมี่ คือตอนนั้นเราส่งแบบไม่ได้คาดหวังเลยคลิปเราค่อนข้างจะชิลล์มากด้วยซ้ำ มีความคิดแบบว่าถ้าเราทำแบบคาดหวังมากๆ แล้วไม่ได้มันจะเสียใจอะ เลยส่งคลิปไปแบบที่ค่อนข้างเป็นตัวเองมากๆ คืออยากให้เขาเห็นความเป็นเราที่สุดถ้าเขาจะชอบและเลือกเรา แล้วก็ผ่านไปถึงรอบออดิชั่นสด 30 วงค่ะ จริงๆ ผ่านไปถึงแค่นั้นก็ดีใจมากแล้วนะคะ ตอนนั้นแพงก็เลือกทำโชว์เป็นเพลงของตัวเองทั้งหมดเลย แล้วตอนที่ไปถึงที่ออดิชั่นคือทุกอย่างยิ่งใหญ่ เวทีใหญ่มาก จนเราต้องพยายามคิดไม่ให้ตื่นเต้น พยายามทำให้เต็มที่ วันนั้นก็ผ่านมาได้ด้วยดี พอใจในตัวเอง


Q: รู้สึกยังไงตอนที่ได้รู้ว่าได้มาเป็นศิลปินจริงๆ จาก GMM Audition

A: ดีใจมากๆ เลย ตอนแรกแพงยังงงๆ อยู่ วันที่ออดิชั่นเสร็จแล้วได้เข้าไปคุยกับพี่ๆ ในค่าย ซึ่งวันนั้นเราก็ยังไม่รู้ว่าสรุปเราผ่านมั้ย แต่พอเราได้รับคำชวนไปคอนเสิร์ตค่ายแล้วได้เจอพี่โอม Cocktail (ผู้บริหารค่าย Gene Lab) พี่โอมบอกว่า “ยินดีต้อนรับศิลปินใหม่ Gene Lab” ก็แบบดีใจแบบ “อ้าว.. ได้เป็นแล้วหรอ 5555555” มันภูมิใจมากๆ ที่ผลงาน ความพยายามของเราอย่างน้อยก็มีพี่ๆ ที่มองเห็นอะไรบางอย่าง แล้วให้โอกาส


Q: แล้วรู้สึกยังไงที่ได้มาอยู่ค่าย Gene Lab คิดว่าคาแรกเตอร์ของค่ายนี้เข้ากับเรายังไงบ้าง

A: รู้สึกภูมิใจ ดีใจ และรู้สึกขอบคุณค่ะ เพราะ Gene Lab คือค่ายที่เราอยากจะอยู่ ส่วนเรื่องคาแรคเตอร์ คนอาจจะมองว่า Gene Lab คือค่ายร็อก แล้ว Pang Pattanan ป็อปๆ มาได้ยังไง แต่สำหรับแพง แพงคิดว่า Gene Lab คือค่ายที่หลากหลายนะคะ ในค่ายตอนนี้ก็มีหลายแนวเพลงมากๆ เลย คิดว่าเข้ากับเราตรงจุดที่เราทำเพลงแบบไหนก็ได้ค่ายให้อิสระในแบบที่เราชอบ



Q: การทำงานร่วมกับพี่ๆ ในค่าย Gene Lab เป็นยังไงบ้าง

A: ดีมากๆ เลยค่ะ ทุกคนในค่ายก็คือคุยได้หมด ใจดี สงสัยอะไรปรึกษาถามได้พี่ๆจะช่วยอธิบายเราตลอด แล้วก็ให้เราได้มีส่วนร่วมตัดสินใจกับงานของเราเองด้วยในทุกๆ ขั้นตอน


Q: ผ่านมาร่วมๆ สองปี ภาพตอนแรกที่มอง Gene Lab กับตอนนี้ต่างกันยังไง เล่าให้ฟังหน่อย

A: ก็รู้สึกว่าเป็นค่ายที่เท่ดี เป็นค่ายที่ให้อิสระในการทำงาน อยู่ๆ ผ่านมา 2 ปีก็ได้ปรับตัว เรียนรู้ เข้าใจการทำงานอะไรมากขึ้น ก็ดีใจที่ได้เป็นศิลปินใน Gene Lab ค่ะ


Q: นอกจากร้องเพลง เห็นว่าเล่นดนตรีได้ด้วย ทำไมถึงมาชอบ และฝึกเล่นยังไงบ้าง

A: เครื่องดนตรีชิ้นแรกแพงเริ่มจากเปียโนก่อน อยากเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เพิ่งมีโอกาสได้เรียนช่วง ม.1 แล้วเราก็หยุดไปช่วงนึง ที่อยากเรียนเพราะว่าอยากเล่นดนตรีให้ตัวเองร้องเนี่ยแหละ ส่วนกีตาร์ แพงเรียนเหมือนกันค่ะ รู้สึกว่ามันเท่ดี ตอนแรกเริ่มจากเรียนกีตาร์คลาสสิกเลย ซึ่งคิดว่าก็ดีนะคะ เพราะได้รู้เข้าใจ เบสิกเรียนแบบอ่านโน้ตด้วย พอเรียนไปเรียนมาก็รู้สึกว่า โอเค.. ยากจังครู หนูขอเรียนแค่คอร์ด เล่นให้ตัวเองร้องได้ก็พอแล้ว 55555555 


Q: แนวเพลงไหนที่แพงชอบ ทั้งที่ชอบร้องเองและชอบฟัง

A: ถ้าที่ชอบฟังก็จริงๆ ฟังหลายแนวเลยค่ะ แต่โดยรวมส่วนใหญ่ก็เป็นเพลง Pop, K-Pop ชอบฟังฝั่งเกาหลี แล้วก็จะมีพวก R&B, Jazz, Soul บ้าง เพลงร็อกเราก็ฟัง ฟังให้เราได้มี input หลายๆ แนว ร้องเองปกติจะชอบร้องอะไรที่ตัวเองรู้สึกร้องสบาย แบบฟังสบาย ไม่ได้จำกัดแนวขนาดนั้น



Q: งานเพลงเป็นงานที่ต้องใช้ความครีเอทีฟเยอะ แล้วเราหาไอเดียมาจากไหน

A: บางทีมัน นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป เลยค่ะ (แอบขายเพลง มามาไปไป 555555) บางทีมันมาเป็นท่อนๆ เราก็พยายามอัดเก็บไว้ในโทรศัพท์ แล้วก็แพงชอบหาอะไรทำฟังอะไรใหม่ๆ เรื่อยๆ นะเวลาเราได้ยินอะไรใหม่ๆ บางทีมันก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาเองเลย แต่บางครั้งบทจะคิดไม่ออกก็ไม่มาเลยจริงๆ เราก็มีพักไปทำอย่างอื่นบ้าง 


Q: กว่าจะเป็นเพลงหนึ่งเพลง ต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง อยากให้เล่าให้น้องๆ เห็นภาพกันหน่อย

A: ถ้าเป็นแพงส่วนมากจะเริ่มจากเมโลดี้กับคอร์ดขึ้นมาก่อน พอเราชอบแล้วค่อยมาคิดว่าจะเล่าเรื่องอะไรดี แล้วพอทำเราก็จะมีเสียง ภาพ เรฟเฟอเรนซ์ดนตรีในใจว่าเราอยากทำออกมาเป็นประมาณไหน พอแพงคิดตรงนี้ได้หมด ก็จะเอาไปคุยกับพี่โฟร์วง HENS ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ของแพงเอง พี่โฟร์ก็จะช่วยดู แล้วก็ทำเป็น Demo ขึ้นมาค่ะ พอลงตัวแล้ว จากนั้นเราก็เข้าสู่กระบวนการอัด พออัดเสร็จก็เป็นขั้นตอน Mix & Master ก็จะเป็นอันเสร็จสมบูรณ์


Q: แล้วพี่แพงชอบขั้นตอนไหนมากที่สุด

A: ชอบขั้นตอนที่คิดงานออก แล้วก็ตอนงานเสร็จค่ะ 5555555


Q: การอยู่ในค่าย มีความกดดันต่างๆ จากรอบตัว เราจัดการกับสิ่งนี้ยังไง

A: ก็คิดให้รู้สึกไม่กดดัน มันดูเหมือนคำตอบกวนนะคะ แต่ก็เป็นอย่างนี้จริงๆ ความกดดันมันไม่ค่อยเกิดจากคนอื่นเลยค่ะ ส่วนมากจะเกิดจากที่เรากดดันตัวเอง เพราะอย่างที่ค่ายก็ไม่ได้กดดันอะไรเลยนะคะ ทั้งเรื่องผลงาน และฟีดแบคต่างๆ คือให้เวลาเราได้ทำแบบที่เราแฮปปี้ที่สุด แต่ถ้าเวลาที่แพงรู้สึกจัดการตัวเองไม่ค่อยได้ คิดวกวนกดดันตัวเอง ก็จะพักผ่อน หรือจะชอบคุยปรึกษาพี่ๆ คนที่มีประสบการณ์ พอเราได้ฟังแนวคิดก็จะได้นำมาปรับใช้ คือเราต้องรู้ว่าโอเคเรากดดันจากอะไร แล้วเราทำอะไรได้บ้าง ดาวน์ได้นะ แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาทำ



Q: การทำเพลงเอง กับการอยู่ในค่าย ต่างกันยังไงบ้าง มีอะไรที่เป็นข้อจำกัดมั้ย

A: ต่างกันตอนที่เราทำเองเราตัดสินใจเองทุกอย่างแบบจะปล่อยเพลงไหนปล่อยตอนไหนก็ได้ แล้วก็ทำทุกอย่างเองหมดเลย ตั้งแต่เพลง ภาพ ไปจนถึงการนำเพลงเข้าสตรีมมิ่ง โปรโมตเพลง แต่พอเรามาอยู่ค่าย มันคือเราเป็นทีม ทุกการตัดสินใจก็จะต้องฟังพี่ๆ ในค่ายร่วมกันตัดสินใจ ในหน้าที่บางอย่างเราก็ไม่ต้องทำเองแล้วเพราะพี่ๆ ก็มาช่วยดูแล เราโฟกัสแค่เรื่องเพลง ซึ่งมันก็ดีมากๆ ส่วนการทำงานเพลงก็เหมือนเดิมคือเราทำผลงานในแบบที่เป็นเรา ไม่ได้มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นแบบไหน เพียงแต่ว่าจะผ่านไหม ก็อีกเรื่อง 555555


Q: เพลงไหนของเราเองที่เราชอบมากที่สุด

A: จริงก็ชอบทุกเพลงค่ะ ในทุกๆ เพลงมันเป็นส่วนหนึ่งของช่วงชีวิตความชอบของเราตอนที่ทำตอนนั้น แต่ถ้าเป็นตอนนี้เลยก็อาจจะชอบเพลงใหม่ล่าสุด ฝากน้องๆ ด้วยน้าา กับเพลง “Moment” ตามไปฟังกันได้เลยทุกช่องทางค่า


Q: รู้สึกยังไงบ้างตอนที่ได้ไปออกคอนเสิร์ต ร้องเพลงต่อหน้าหลายๆ คน และรู้สึกยังไงกับคอนเสิร์ตใหญ่ของค่าย Gene Lab ที่เพิ่งจัดไป

A: ตื่นเต้นมากๆ เป็นงานใหญ่ครั้งแรกๆ เลยตั้งแต่เข้ามาอยู่ในค่าย เพราะเราก็เข้ามาในค่ายช่วงโควิดพอดี เลยไม่ค่อยได้ไปโชว์ที่ไหน พอขึ้นไปร้องแล้วก็รู้สึกมีความสุขมาก สนุก เติมเต็มชีวิตดี อยากให้มีคอนเสิร์ตบ่อยๆ


Q: เป้าหมายของพี่แพงตอนนี้ในสายงานดนตรีเป็นยังไง

A: ก็อยากเป็นศิลปินที่ทุกคนไว้วางใจในการฟังเพลง อยากให้เพลงของเราเข้าถึงคนได้ 



Q: นอกจากงานดนตรีแล้ว พี่แพงยังชอบทำอะไรอีกบ้างในวันว่างๆ

A: จริงๆ แล้วไม่ค่อยชอบทำอะไร ชอบอยู่เปื่อยๆ 5555555 อาจจะฟังเพลงบ้าง ดูซีรีส์บ้าง แล้วก็ช่วงนี้กำลังสนใจหนังสือค่ะ มีอ่านหนังสือบ้าง


Q: เห็นตะกี๊นี้บอกว่ามีเพลงใหม่แล้ว ชื่อ “Moment” เป็นเพลงเกี่ยวกับอะไร เล่าให้น้องๆ ฟังกันหน่อย

A: เพลงนี้ชื่อเพลง Moment พูดถึงการคิดถึง Moment ดีๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งตอนนี้เราอาจจะไม่ได้มีมันอีกแล้ว แต่ทุกครั้งที่นึกถึงมันก็อุ่นใจ เลยอยากจะเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ให้ไม่ลืมมันไป


Q: ฝากถึงน้องๆ ที่กำลังค้นหาตัวเอง และน้องๆ ที่อยากเรียนในสายดนตรี

A: ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ที่กำลังค้นหาตัวเอง ลองดูว่าตัวเองชอบอะไรแล้วก็ จะมีความสุขกับการเรียนแบบไหน สำหรับดนตรีก็ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย 555555 ถ้าเรามีความเชื่อว่าเราทำได้ มันก็จะทำได้ สู้ๆ!



ก็จบกันไปแล้วกับการพูดคุยกับพี่แพง หวังว่าเรื่องราวของพี่แพงจะได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ ที่ฝันอยากเรียนต่อด้านดนตรีหรืออยากเป็นศิลปินไม่มากก็น้อย ถ้าเรามีแพชชั่นและฝึกฝนในสิ่งที่เรารักอย่างสม่ำเสมอ มันจะพาเราไปถึงเป้าหมายอย่างแน่นอน! และที่สำคัญต้องหาเวลาว่างในการพักสมอง ผ่อนคลายจิตใจกันด้วย สุดท้ายนี้ก็อย่าลืมแวะไปฟังเพลง Moment และติดตามผลงาน เป็นกำลังใจให้พี่แพงกันด้วยน้า สำหรับวันนี้ พี่ซอและพี่แพงขอลาไปก่อน สวัสดีจ้า บั๊ยบายยย..



CAMPHUB idol พี่แพง พัทธนันท์ อภิวัฒน์เวคิน Instagram YouTube Facebook
สัมภาษณ์ พี่ซอ CAMPHUB
ตรวจทาน พี่ฟิวส์ CAMPHUB
ถ่ายภาพ พี่ซัน CAMPHUB
ขอขอบคุณสถานที่ B2S Think Space และ Central Eastville

กดแชร์เอาไว้อ่านทีหลัง หรือแชร์ให้เพื่อน คลิกด้านล่างเลยจ้า

ข้อมูลผู้เขียน