รู้จักเส้นทางของ AI ก่อนจะกลายมาเป็นหัวสมองอันชาญฉลาดของมนุษย์🧠
AI ดูเหมือนเป็นสิ่งใหม่ แต่แท้จริงแล้วมันมีประวัติยาวนานมากว่า 70 ปี โดยเจ้าพ่อปัญญาประดิษฐ์ ‘Alan Turing’ ที่พัฒนาจากความสงสัยว่า “เครื่องจักรจะคิดเหมือนมนุษย์ได้ไหม?” จากนั้น AI ก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ
AI ในยุคแรกนั้นเริ่มมาจากเกม👾 ➡️ ต่อมาก็ได้นำไปใช้ในกระบวนการผลิตรถยนต์🚗 ➡️ จนมาถึงปี 1965 ที่พูดถึงเป็นอย่างมาก สำหรับ Chatbot ตัวแรกของโลก🗨️ ➡️ ตั้งแต่นั้นก็ถูกพัฒนาจนสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแปลภาษา การคิดคำนวณ การเขียนจดหมาย (อีเมล) การปรับแต่งภาพหรือวิดีโอ หรือแม้กระทั่งการสอนหนังสือ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลกันว่า ต่อไปเจ้า AI จะมาแทนที่มนุษย์และจะเกิดวิกฤติขึ้น😱 ถึงขั้นมีการเรียกร้องให้หยุดพัฒนา AI ก่อนที่มนุษย์จะรับมือกับความชาญฉลาดของมันไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถหยุดพัฒนา AI ได้ หรือถึงแม้ว่าโลกนี้จะไม่มี AI เราก็อยู่ในสังคมที่มีการแข่งขันสูงอยู่ดี ดังนั้นเราจึงอยากให้ทุกคนลองเปลี่ยนมุมกลับ ปรับมุมมองให้ AI ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย และหาวิธีว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ในยุคที่ AI พัฒนาไกลแบบก้าวกระโดดแบบนี้
จะอยู่กับ AI ได้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพที่สุด!
AI ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอย่างที่คิด หากเราปรับตัวเข้ากับการมีอยู่ของมัน โดยวิธีที่ได้ผลที่สุดในการอยู่ร่วมกับ AI คือ
🚩เรียนรู้ทักษะการใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งหรือสายงานของเรา
เรียนรู้และฝึกฝนที่จะใช้งาน AI ที่เกี่ยวกับสายงานของเราให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะสาย Data คิดคำนวณ สายตัดต่อ Creative การเขียน หรือภาษา เราต้องเข้าใจการทำงานของ AI ประเภทนั้น ๆ รวมทั้งหาข้อดีข้อเสีย หรือจุดเด่นจุดด้อยของมันให้ได้ เช่น AI สำหรับสายเขียน แม้ว่ามันสามารถเขียนได้ทั้งบทความ และจดหมายต่าง ๆ แต่การเขียนที่มีความละเอียดอ่อนที่ต้องเข้าถึงความรู้สึกของคน ซึ่ง AI จะยังไม่สามารถทำได้ เป็นต้น
🚩เลือกใช้ AI มาเป็นตัวช่วยมากกว่าตัวแทน
เมื่อเข้าใจการใช้ AI แล้ว เราควรนำมันมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานของเรา เพื่อทุ่นแรง และควรพยายามควบคุมมันให้คล่อง เพื่อจะได้ไม่ถูก AI กลบความสามารถของเราไปเสียหมด ตัวอย่างอาชีพที่นำ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น หมอ พยาบาล เหล่าสายสุขภาพทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะนำ AI มาใช้ช่วยวิเคราะห์โรค ผ่าตัดทางไกลโดยหุ่นยนต์ หรือแม้กระทั่งใช้สัญญาณตรวจจับภาวะซึมเศร้า ฯลฯ การใช้ประโยชน์จาก AI แบบนี้ก็เพื่อรักษาผู้ป่วยได้รวดเร็ว รวมถึงแบ่งเบาการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ไปด้วย
🚩ไม่ทิ้งให้ AI ทำงานทั้งหมด
อย่างที่บอกว่าให้นำ AI เข้ามาใช้ในการทำงาน แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งให้มันทำทั้งหมด เพราะ AI ยังมีความผิดพลาด เช่น ข้อมูลบางอย่าง การไม่สามารถรู้ใจมนุษย์ หรือข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ ดังนั้นมนุษย์อย่างเรายังต้องเป็นคนกลั่นกรองและควบคุมเสมอ เช่น ในอาชีพครูที่ต้องสอนให้นักเรียนเข้าใจ และต้องทำหน้าที่ชี้นำให้นักเรียนไปในทางที่ควรด้วย หรืออาชีพด้านสังคม กฎหมาย ที่ต้องพิจารณาบริบทของสังคมนั้น ๆ ควบคู่ไปด้วย ซึ่งบางกรณีมันต้องใช้ความละเอียดอ่อนมากกว่าที่ AI จะตัดสินได้
🚩พยายามปฏิบัติกับ AI เหมือนคนที่มีหน้าที่
โดยปกติแล้วคนมักจะมอง AI เป็นแค่เครื่องจักร แต่ถ้าลองเราปรับมุมมองหาตัวตนให้มันชัดเจน อย่างทำเหมือนมันเป็นพนักงานตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ก็จะทำให้งานเราเดินเร็วขึ้น เช่น ถ้าจะให้ช่วยเรื่องงานแปล เราต้องสร้างให้มันเป็นนักแปล เพื่อช่วยงานเราให้ได้มากที่สุดนั่นเอง หากให้เห็นภาพคือ ถ้าเราให้คนที่ถนัดด้านใดด้านหนึ่ง ไปทำงานทุกหน้าที่ ก็อาจทำให้งานออกมาไม่มีคุณภาพได้ เพราะอย่าลืมว่า AI ก็มีข้อผิดพลาด หรือมีเรื่องที่ต้องปรับปรุงและเรียนรู้เช่นกัน
🚩เรียนรู้และพัฒนาตนเองให้เก่ง(ฉลาด) กว่า AI
โลกของเราไม่ได้เพิ่งเปลี่ยนแปลงจากการมี AI แต่เราผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุค ตั้งแต่การมีสิ่งพิมพ์ มีวิทยาศาสตร์ จนมาถึงการมีเทคโนโลยีที่ฉลาดขึ้น ดังนั้นให้คิดว่า แม้เทคโนโลยีจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เราเองก็ต้องเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน หมั่นพัฒนาตนเองเสมอ เรียนรู้ที่จะปรับตัว และอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เพราะเราไม่สามารถทำให้โลกใบนี้หยุดหมุนไปได้ การพัฒนาของเทคโนโลยีก็เช่นกัน ดังนั้นในยุคนี้และต่อจากนี้ไป ‘การปรับตัวจึงสำคัญ’☝️ อย่ากลัวเทคโนโลยีจะพัฒนาไปไกล แต่ให้พัฒนาตัวเราให้สามารถควบคุมเทคโนโลยีได้แทน และที่สำคัญที่สุดเทคโนโลยีมีเพื่อทำให้มนุษย์สะดวกสบายขึ้น เป็นเครื่องมือทุ่นแรงไม่ใช่การนำมาแทนที่ เพียงแค่เราต้องใช้ให้ถูก ควบคุมให้ได้ ฉะนั้นเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอ🧑💻 อย่ากลัวที่จะพัฒนาไปพร้อม ๆ กับเจ้า AI หรือเทคโนโลยีในอนาคต…
เขียนโดย พี่ ๆ ทีมงาน AFTERKLASS